สถานการณ์การแพร่ระบาดในจีนเริ่มดีขึ้นตามลำดับ จากตัวเลขที่ออกมา ยังคงมีเพียงต้นกำเนิดของการระบาด คือ มณฑลหูเป่ย ที่ยังคงต้องเฝ้าจับตาอยู่ แต่ในทางกลับกัน สถานการณ์ในภูมิภาคอื่นของโลกไม่ว่าจะเป็นตะวันออกกลาง ยุโรป หรือสหรัฐนั้น มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป แม้จะดูไม่ค่อยตกอกตกใจรับข่าว COVID-19 สักเท่าไหร่ในช่วงแรก คงเป็นเพราะส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว และการระบาดน่าจะจำกัดอยู่ในระดับภูมิภาค
แต่พอเริ่มมีการระบาดในอิตาลี และอิหร่าน ที่มีการแพร่กระจายค่อนข้างจะรวดเร็วกว่าในแถบเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ในระยะแรกเสียอีก ตลาดหุ้นทั้งยุโรปและสหรัฐก็ถูกแรงเทขายกระหน่ำออกมาอย่างนักในทันที
การปรับลงระดับ 700 - 1000 จุดของ Dow Jones ต่อเนื่องเกือบทุกวันตลอดสัปดาห์นี้ถ้า จะมองกันตามตรงก็ต้องบอกว่า ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐนับได้ว่าเป็นตลาดที่มีค่า P/E ในระดับที่สูงมาก
นั่นเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อเริ่มมีเหตุการณ์ที่ทำให้ความเชื่อตรงนั้นเปลี่ยนไป นักลงทุนจึงพร้อมเทขายหุ้นออกมา โดยล่าสุดมีนักวิเคราะห์มองว่า EPS ของตลาดสหรัฐอาจไม่เติบโตเลยในปี 2020 นี้
นอกจากนั้น บริษัทอย่าง Microsoft ก็ยังบอกว่าตนเองได้รับผลกระทบเช่นกัน หลังจากก่อนหน้านี้ทาง Apple ได้ออกมายอมรับว่าอาจส่งผลกระทบต่อสายการผลิตของตนในจีน
นี่ยังไม่นับรวมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการบริโภคภายในประเทศ หากมีการแพร่ของโรคในสหรัฐเป็นวงกว้างมากขึ้นกว่านี้ในอนาคต
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดในจีนที่ว่าหนักแล้ว ตอนนี้เริ่มขยายวงกว้างไปยังประเทศในภูมิภาคอื่นทั่วโลก และนั่นทำให้เราอาจต้องประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยอีกหรือไม่??
เท่าที่ดูความเห็นจากนักวิเคราะห์และหน่วยงานของรัฐ ส่วนใหญ่มองว่า GDP ของไทยจะได้รับผลกระทบแค่ในไตรมาส 1 และจะฟื้นตัวในไตรมาส 2
เราอาจต้องทบทวนกันใหม่หรือไม่ เพราะนี่ก็สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์แล้ว สถานการณ์การระบาดกลับเพิ่งเริ่มต้นในบางภูมิภาค
ตามหลักระบาดวิทยา สิ่งที่ต้องทำมี 2 อย่างคือ 1. หยุดการแพร่เชื้อต่อ และ 2. คือรักษาคนที่เป็นให้หาย และไม่สามารถแพร่เชื้อต่อได้
แต่เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ ยังไม่มียารักษา ต่อให้คิดได้ ก็ยังจะไม่สามารถรับรองให้ใช้ได้ จนกว่าจะผ่านการทดลองตามขั้นตอน นั่นคือ ต้องมีการทดลองในห้องวิจัย ทดลองในสัตว์ และทดลองในคน ซึ่งกระบวนการต่างๆต้องใช้เวลา
สิ่งที่ทำได้มากที่สุดตอนนี้ ก็คือ พยายามทำให้มีการแพร่ของเชื้อได้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือการยื้อเวลาเพื่อรอวัคซีนและยารักษา และนี่คือสิ่งที่รัฐบาลแต่ละประเทศทำกันอยู่
แต่ก็ต้องอาศัยจิตสำนึกของคนด้วยที่ควรจะต้องรู้ตัว และมีความรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยง ก็ควรกักตัวเอง เพราะภาครัฐคงไม่มีกำลังเพียงพอในการสอดส่องดูแลได้ขนาดนั้น หรือบางทีอาจเจอช้าเกินไปจนเกิดการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นแล้วก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องมาตรการการป้องกันการแพร่เชื้อนี่ล่ะ ที่สร้างความหวั่นกลัวอย่างมาก
แม้จีนจะผิดพลาดเรื่องการเปิดเผยข้อมูลในระยะแรก แต่หลังจากจีนยอมรับ จีนใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดถึงขั้นปิดเมือง ปิดการคมนาคมขนส่งต่างๆแทบจะทั้งหมด สั่งบริษัททัวร์คืนเงินและงดเที่ยวบิน
นั่นเป็นสิ่งที่ทางการจีน "ทำได้โดยง่าย" ภายใต้ระบบการปกครองของเขา
ซึ่งมันทำให้เกิดคำถามว่า แล้วประเทศอื่นล่ะ จะกล้าทำแบบที่จีนทำหรือไม่??
การระดมบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขไปยังอู่ฮั่น และสร้างโรงพยาบาลแบบถอดประกอบเพื่อรองรับผู้ป่วยปริมาณมาก นั่นคือความพยายามอย่างมากที่สุดเท่าที่รัฐบาลของประเทศหนึ่งจะทำได้แล้ว ที่จะปฏิบัติตามแนวทางระบาดวิทยาส่วนแรก คือ ต้องป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อให้ได้มากที่สุด
ตอนนี้คงถึงเวลาที่เราจะมาดูกันแล้วว่า ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในการรับมือกับโรคระบาดอย่างสหรัฐนั้น จะสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสตัวนี้ได้หรือไม่ ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะหยุดอยู่ที่เท่าไหร่
ในส่วนของยานั้น ต้องเข้าใจกันด้วยว่า มี 2 ส่วน ส่วนแรกคือ วัคซีน อันนี้ไม่ได้ใช้รักษา แต่เป็นการฉีดเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งตอนนี้บริษัท Moderna Therapeutics ได้ส่งวัคซีนล็อตแรกไปให้ NIAID หรือสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติแล้ว
ในส่วนที่ 2 คือ ยารักษา กำลังมีการทดลองใช้ยา remdesivir ในขั้นสุดท้าย คือทดลองในผู้ป่วย โดยแยกเป็นกลุ่มที่ได้รับยาจริงกับยาหลอก ซึ่งจะใช้เวลา 15 วัน โดยผู้ป่วยที่ถูกเลือกจะต้องมีอาการของโรค คือ มีการติดเชื้อในปอด หายใจหอบ มีผลเอ็กซเรย์ปอดที่ผิดปกติ หรือ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เท่านั้น เพราะการทดลองต้องการดูว่า ยาจะสามารถรักษาอาการเหล่านี้ซึ่งเกิดจากไวรัสตัวนี้ได้จรือหรือไม่
อย่างเร็วที่สุด ทั้งวัคซีนและยาจะเริ่มใช้ได้จริงในเดือนเมษายน (หากการทดลองประสบความสำเร็จ)
ไม่ใช่แค่เพียงสหรัฐเท่านั้น แต่ในที่อื่นทั่วโลกก็กำลังมีความพยายามอย่างเต็มที่ในการคิดค้นสูตรยาเพื่อรักษาผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสนี้ แต่ยังไงเสียต้องรอทำการทดลองให้ถึงขั้นสุดท้ายเท่านั้น จึงจะได้รับการรับรองและสามารถนำมาใช้รักษาได้จริง