เก็บตกจากงาน "ปีที่ 17 หนังสือพิมพ์ทันหุ้น"ได้เชิญรัฐมนตรี 3 กระทรวงเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยมี คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับมุมมองและทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ทาง stock2morrow เก็บตกข้อมูลสำคัญในงานนี้มาฝากกันครับ
"ถึงแม้เศรษฐกิจอาจจะดูไม่ดีนักในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ภาคเอกชนยังมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงมากๆ"
คุณสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ทันหุ้นได้กล่าวเปิดงาน และให้ความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยยังคงเดินต่อไปด้วยความเข็มแข็งโดยเฉพาะการสนับสนุนของภาครัฐ การขยายเมกะโปรเจกต์ เพื่อให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังได้กล่าวเกี่ยวกับแนวทางของหนังสือพิมพ์ทันหุ้นด้วยว่า จะยึดหลักการในการเสนอข่าว โดยเน้นรายงานเรื่องดีๆ ไม่นำเสนอข่าวเกินจริง ซึ่งถือเป็นคอนเซ็ปของ นสพ. ทันหุ้นมาตลอด 17 ปีที่ผ่านมา
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านโครงสร้างพื้นฐาน โดยคุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
"เป็นไปได้ไหม ที่จะสามารถปรับแผนกระทรวงคมนาคมให้สามารถตอบโจทย์พี่น้องประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดด้วย"
คุณศักดิ์สยาม ได้เล่าถึงการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมโดยเน้นวางโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมให้ครบ 4 ภาค เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่คนที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัดด้วย ซึ่งตอนนี้ทางกระทรวงคมนาคมกำลังดำเนินการอยู่
นอกจากนี้ยังพยายามแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับระบบรถไฟของประเทศไทยให้ทันสมัย เพราะมองว่ารถไฟ คือระบบโลจิสติกในอนาคตของประเทศ โดยตอนนี้กำลังวางระบบรถไฟรางคู่เส้นทาง กรุงเทพ-นครราชสีมา และ กรุงเทพ-หนองคาย ซึ่งกำลังดำเนินการไปได้ด้วยดี แต่อาจจะเจอความล่าช้าเพราะปัญหาไวรัสโควิด-19 แต่ยืนยันว่าโครงการนี้จะสำเร็จตามแผนแน่นอน
EEC จะต้องเกิด
โดยคุณศักดิ์สยาม ยืนยันว่าโครงการเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยมองว่า EEC เป็นโครงการที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนในมิติต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี การคมนาคม การท่องเที่ยว และจะเห็นผลความสำเร็จของโครงการหลังปี พ.ศ. 2568
มากไปกว่านั้น ยังมีแผนที่จะสร้างโครงการเขตเศรษฐกิจให้ครบทั้ง 4 ภาค โดยทางกระทรวงคมนาคมจะมาช่วยดูแลเรื่องการการสร้างถนน และรถไฟ โดยเน้นการกระจายความเจริญเป็นหลัก เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในทุกพื้นที่ คุณศักดิ์สยามกล่าวทิ้งท้าย
เจาะอนาคตพลังงานไทย โดยคุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
"ผลักตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านพลังงาน"
คุณสนธิรัตน์ ได้กำหนดทิศทางการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน ไว้ 3 ข้อใหญ่ คือ 1.ขับเคลื่อนและผลักดันศักยภาพของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางค้าขายไฟฟ้าของอาเซียน (Trader of ASEAN) 2.เป็นศูนย์กลางของ LNG (ก๊าซธรรมชาติ) ของภูมิภาค 3.นโยบาย Energy For All เป็นนโยบายที่ต้องการให้พลังงานกระจายลงไปสู่ฐานรากของธุรกิจชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยใช้พลังงานสร้างความเข็มแข็งให้แก่พืชผลทางเกษตร และยกอุตสาหกรรมด้านพืชพลังงานเป็นหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ประกาศใช้ E20 เป็นเบนซินขั้นพื้นฐานของประเทศไทย
นอกจากนี้ คุณสนธิรัตน์ยังกล่าวถึงการใช้แก็สโซฮอลชนิด E20 เป็นพื้นฐานแก็สโซฮอลของประเทศไทย แล้วลด E10 ออกจากระบบ เนื่องจากต้องการให้เกรดน้ำมันในประเทศเหลือน้อยลง โดยผลที่ตามมานั้นคือ เป็นการเพิ่มเอทานอลขึ้นอีกจำนวน 2 ล้านลิตร ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าทางพืชผลการเกษตรได้แก่ ปาล์ม อ้อย และมันสำปะหลัง เพื่อนำมาผลิดเป็นน้ำมันชีวภาพ นอกจากจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรแล้ว ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และยังช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 อีกด้วย
เน้นปลูกพืชโตเร็ว
คุณสนธิรัตน์ พยายามจะแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ เนื่องจากมองว่ามี Supply มากเกินไป โดยกระทรวงพลังงานจะเข้ามาช่วยดูแล และเสนอเกษตรกรให้ลดพื้นที่การปลูกยางพารา แล้วหันไปปลูกพืชโตเร็วในแปลงสวนยางแทน แล้วนำพืชไม้เหล่านั้นเข้าสู่โรงไฟฟ้า เพื่อนำมาแปรรูปเป็นสินค้าชีวภาพ ถือว่าเป็นการนำพลังงาน และเพิ่มบทบาทให้แก่พืชพลังงานมาเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
ผลักดันรถไฟฟ้า EV
อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือกระทรวงพลังงานกำลังส่งเสริม Charging Station (สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า) เพื่อส่งเสริมการลงทุนในการสร้าง Charging Station ทั่วประเทศ และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้า EV กันมากขึ้นในอนาคต
คุณสนธิรัตน์ทิ้งท้ายว่า "กระทรวงพลังงานจะดำเนินการทุกทางให้เรามีต้นทุนพลังงานที่มีความมั่นคงและแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อดึงการลงทุนกลับสู่ประเทศไทย และทำให้ไทยเป็นที่น่าลงทุนด้านพลังงาน"
เศรษฐกิจไทยในยุค Thailand 4.0 โดยคุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
Digital Hub อันดับ 1 ของอาเซียน
คุณพุทธิพงษ์ได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตัวเลขของผู้ใช้มือถือมีมากถึง 93.39 ล้านเครื่องซึ่งมากกว่าสัดส่วนของประชากรทั้งหมดในประเทศ ปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ต 9 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ทำให้มองว่าประเทศไทยนั้นพร้อมแล้วสำหรับยุคดิจิตอล
และจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Digital Hub อันดับ 1 ของอาเซียน โดยจะให้ความสำคัญในเรื่องของระบบ Infrastructure ว่าจะต้องมีความพร้อม เพื่อรองรับบริษัทต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย อีกทั้งยังผลักดันให้แรงงานไทยมีทักษะทางดิจิทัลมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพยายามผลักดันให้ประเทศไทยมี Data Center เพื่อเป็นฐานข้อมูลเก็บไว้ในประเทศ เพราะมองว่าข้อมูลของคนไทยควรจะเก็บไว้ที่ประเทศไทย และไม่ต้องการให้ข้อมูลถูกโอนไปยังต่างประเทศ อีกทั้งยังออกกฎหมาย พรบ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่คนไทยว่าข้อมูลจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี
Big Data ของภาครัฐ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กำลังดำเนินการสร้างฐานเก็บข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ให้แก่รัฐบาล โดยจะมี 3 กลุ่มยุทธศาสตร์ใหญ่ ได้แก่ ด้านท่องเที่ยว ด้านสาธารณสุข และด้านแรงงาน เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ และประชาชน ยกตัวอย่าง เช่น ในด้านของสาธารณสุข หากมีผู้ป่วยที่รักษาพยาบาลในกรุงเทพมาตลอด ก็จะสามารถไปรักษาที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดได้ เนื่องจากมีการเชื่อมต่อข้อมูลของคนไข้ ซึ่งถูกเรียกว่าระบบ Clound เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ และประชาชน
"วันหนึ่ง ประเทศไทยจะต้องเป็นประเทศที่ทำ 5G ได้ดีที่สุดในภูมิภาคอาเซียน"
คุณพุทธิพงษ์กล่าวปิดท้ายในงานว่า เห็นถึงความสำคัญของระบบ 5G เนื่องจากมองว่า เป็นระบบเน็ตเวิร์กที่สามารถรองรับอุปกรณ์ต่างๆได้เป็นจำนวนมาก (ไม่ใช่แค่โทรศัพท์มือถือ ) และอยากให้คนไทยทุกกลุ่มได้มีโอกาสในการใช้ระบบ 5G ในการปรับเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของทุกคน และทุกอุตสาหกรรม เช่น รักษาพยาบาล การศึกษา การสาธารณสุข และด้านอื่นๆ ซึ่งเป็นเหตุผลที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มอบหมายให้ CAT และ TOT เข้าไปร่วมประมูลคลื่น 5G ที่ผ่านมานั่นเอง