คำว่า Economies of Scale เป็นคำที่ถูกพูดกันเยอะมากสำหรับนักลงทุนหุ้นสายพื้นฐาน แปลเป็นไทย คือ "การประหยัดเนื่องมาจากขนาด"

.. งง หนักเข้าไปอีก ..

สรุปแล้วเราอย่าไปสนใจคำแปล ให้เข้าใจคอนเซ็ปของคำว่า Economies of Scale ก็เพียงพอแล้ว มันคืออะไร วันนี้เราจะมาไขคำตอบกันครับ

หลักของคำว่า Economies of Scale คือ ความได้เปรียบของบริษัท ที่จะทำให้ต้นทุนถูกลง เมื่อต้นทุนถูกลงจะส่งผลให้ Margin กำไรต่อหน่วยเพิ่มขึ้น

- ในสายการผลิตมักจะอ้างอิงถึงเรื่อง การผลิตเพิ่มขึ้น -- "ทำให้ต้นทุนถูกลง"
- บริษัทใหญ่มีการลงทุนขนาดใหญ่ กู้เงินก้อนใหญ่ทำให้ดอกเบี้ยถูก -- "ต้นทุนทางการเงินถูกลง"
- บริษัทที่มีแบรนด์สินค้าแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องโฆษณา หรือโฆษณาน้อย -- "ต้นทุนค่าโฆษณาถูกลง"
- บริษัทมีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ - ปลายน้ำ ควบคุมทั้ง Supply Chain -- "ต้นทุนคุ้มค่าขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งถูกลง"

สมาร์ทโฟนของแอปเปิล มีความเป็น Brand Royalty สูงมาก ราคาแพงเท่าไรคนก็ยอมซื้อ ยอมต่อคิวเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของ

กระเป๋าแบรนด์เนม เช่น หลุยส์วิตตอง เป็นสินค้า Super Luxury มีมาร์จิ้นสูง ไม่จำเป็นต้องโฆษณาสินค้า ก็สามารถขายตัวมันเองได้ ยิ่งทำให้มีความยั่งยืนและต้นทุนที่ถูกลง

ในบางครั้งเรื่องของ Economies of Scale ไม่ใช่เป็นเรื่องของสินค้า โรงงาน แต่เราสามารถมองถึงระดับประเทศก็ได้ เช่น ประเทศที่มีประชากรเยอะ บริโภคเยอะ ย่อมได้เปรียบกว่าเพราะเราสามารถขายสินค้าได้มาก เช่นจีน หรืออินเดีย ถือเป็นประเทศที่มีการบริโภคสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก ถ้าใครสามารถไปค้าขายหรือตั้งโรงงานในประเทศนั้นได้ ถือเป็นข้อได้เปรียบ

ประเทศที่มีคนหนุ่มสาวมากกว่า มีอัตราในการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอย ที่มากกว่าประเทศที่เต็มไปด้วยประชากรผู้สูงอายุ แต่ประเทศที่มีผู้สูงอายุเต็มประเทศ บริษัทที่ทำธุรกิจสถานพยาบาล คอนโดชุมชนเพื่อผู้สูงอายุ ธุรกิจ Anti-Aging ก็ถือเป็นโอกาสของธุรกิจด้วยเช่นกัน

นี้ก็เป็นเรื่องราวของ Economies of Scale ไม่ใช่แค่เรื่องขององค์กร บริษัท หรือเรื่องของการผลิตเท่านั้น แต่เรายังใช้อธิบายเรื่องของระดับประเทศได้เช่นเดียวกัน และเป็นสิ่งที่นักลงทุนสายพื้นฐานต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษครับ