วิธีการทำกำไร โดยใช้เทคนิคอลสำหรับเทรดนั้นมีมากมายจริง ๆ แต่จะบอกว่าแบบไหนดีที่สุดคงตอบไม่ได้ชัด
เพราะในแต่ละแนวทางก็จะเหมาะสมกับเทรดเดอร์ที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านเวลา ความรู้ อัตราทดที่ใช้ และ ฐานทุน
นอกจากนี้ สไตล์การเทรดมันก็มีหลากหลายแบบไม่ว่าจะเป็น Scalper, Swing Trader, Position Trader
ในบทความนี้จะนำเสนอการใช้เทคนิคอลในการเทรด ที่ได้รับความนิยม และเข้าใจไม่ยาก คัดมาให้ 5 กลยุทธ์ ซึ่งอยากให้ลองศึกษานำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับรูปแบบการเทรดของท่านกันดูนะครับ
=====================
1. Price Action
Price Action เป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาที่เกิดขึ้นในระดับแนวรับแนวต้านที่สำคัญ รวมไปถึงเส้นแนวโน้ม
นับเป็นกลยุทธ์ที่พื้นฐานที่สุดแล้วในการเทรด เราสามารถหาจุดเข้า Long / Short และวางเป้าหมายกำไร จากการดูระดับแนวรับแนวต้านง่าย ๆ เช่น จุดสูงสุด หรือ ต่ำสุดก่อนหน้า เมื่อราคาเกิดการกลับตัว
กลยุทธ์หลัก ๆ ของ Price Action มีดังนี้
- เทรดตามน้ำในทิศทางที่ราคาเบรคออกจากแนวรับ/แนวต้าน ทำการ Long เมื่อทะลุแนวต้านและ เปิด Short ตอนที่หลุดแนวรับ
- เทรดสวนแนวโน้มที่ระดับแนวรับแนวต้าน ให้ Long เมื่อราคาลงมาที่แนวรับ Short ตอนราคาไปอยู่แถว ๆ แนวต้าน
แต่อย่าลืมรอดูรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวให้ดีเสียก่อน เช่น Hammer, Shooting Star, Bullish/Bearish Engulfing
=====================
2. Throw Back / Pull Back -- ย่อตัว / ดีดกลับ
หากเราต้องการที่จะเทรด Break Out เมื่อราคาเบรคออกจากแนวรับ แนวต้าน เส้นแนวโน้ม หรือ ชาร์ตแพทเทิร์น
ประมาณครึ่งต่อครึ่งราคามักจะกลับมาทดสอบระดับที่เพิ่งจะทะลุมา ย่อตัวจากการเบรคขึ้น ดีดกลับหลังจากเบรคลง
แนวทางนี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่อยากจะเทรดไปตามแนวโน้มนั่นแหละ แต่ต้องการที่จะต่อราคา อยากได้ราคาที่ดีกว่า
ความเสี่ยงที่สำคัญก็คือ ความเสี่ยงที่จะเสียโอกาส ถ้าหากเบรคไปแล้วไปไม่รอ คุณก็ตกรถได้
=====================
3. Band Reversal
Band หรือแถบ มีหลาย ๆ ตัวที่โดดเด่นได้รับความนิยมในหมู่เทรดเดอร์ เช่น Bollinger Band
มีกลยุทธ์หนึ่งที่ John Bollinger ผู้คิดค้นเจ้าแถบนี้ได้แนะนำไว้ก็คือ การเทรดแนว Reversal
เมื่อแท่งเทียนหลุดออกนอกแถบ บน หรือ ล่าง เป็นโอกาสในการเทรดสวนกลับลงมาโดยคาดการณ์ว่าราคาจะกลับเข้ามาเทรดอยู่ในแถบอีกครั้ง
โดยการกำหนดเป้าหมายกำไรเบื้องต้นอยู่ที่ SMA20 หรือ เส้นกลางของ Bollinger Bands นั่นเอง
วิธีการเทรดนี้ค่อนข้างเหมาะกับการเทรดภายในวัน TF เล็ก ๆ เช่น 15 นาที
=====================
4. Divergence
โดยตัวมันเอง ไม่ใช่สัญญาณซื้อ-ขาย แต่เป็นสิ่งบ่งบอกให้เราเตรียมพร้อม ว่าแนวโน้มมีความอ่อนแรงลง และมีโอกาสที่จะกลับตัว วิธีดูก็คือ
Positive/ Bullish Divergence : ในแนวโน้มขาลง ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ Indicator ประเภท Oscillator ที่แกว่งขึ้นลงในกรอบ เช่น RSI , Stochastic ทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นพร้อมกับพุ่งออกจากโซน Oversold
Negative/ Bearish Divergence : ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มขาขึ้นมีโอกาสที่จะชลอตัวเมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ Oscillator ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ลดลงและหลุดออกจากโซน Overbought
คุณควรใช้ Divergence ดูประกอบกับการเทรดในแนวทาง Price Action ในข้อ 1 เพื่อหาสัญญาณเข้า-ออกที่แม่นยำ
=====================
5. Inside Bar Break out
เมื่อช่วงราคา ( ราคาสูงสุด-ราคาต่ำสุด) ของแท่งเทียนถัดไปสั้นกว่าและอยู่ในช่วงราคาของแท่งเทียนก่อนหน้า เราจะเรียกแท่งแรกว่า Mother Bar และแท่งถัดไปคือ Inside Bar
การเทรดวิธีนี้ก็ให้รอว่าเมื่อไหร่ที่แท่งเทียนใหม่ตั้งแต่แท่งที่ 3 เป็นต้นไป ทำการเบรคออก และปิดนอกช่วงราคาของแท่ง Mother Bar
ปิดเหนือทำการ Long ปิดต่ำก็ให้ Short เป้าหมายราคาเป็นระยะสั้น ๆ กำหนดให้ชัดเจน
นักเทรดอาจจะไม่รอให้แท่งเบรคปิดก่อน โดยทำการเข้าทันทีที่ราคาทะลุ ขอให้ระวังกันหน่อยเพราะมีโอกาสเกิดการเบรคหลอกได้ ซึ่งจะทำให้เกิดสัญญาณอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า Fakey หรือ Hikkake