เรื่องราวของโรคระบาดที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ถ้าดูข้อมูลถึงวันที่ 28 มกราคา 2020
จำนวนผู้ติดเชื้อ 6,057 ราย และเสียชีวิต 132 คน คิดเป็นอัตราส่วน 2.2%
ถ้าเทียบกับ SARS ผู้ติดเชื้อ 8,090 ราย เสียชีวิต 774 คน คิดเป็น 9.5%
ถ้าเทียบกับ MERS ผู้ติดเชื้อ 2,494 ราย เสียชีวิต 858 คน คิดเป็น 34.4%
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ไวรัสโคโรนา จากเมืองอู่ฮั่นลุกลามเร็ว แต่เหมือนจะไม่ร้ายแรงเท่า SARS กับ MERS (ต้องติดตามว่าจะกลายพันธุ์ หรือไม่อย่างไร) สิ่งที่เราต้องประเมินคือ
1. ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 8,090 คน หรือทะลุหลักหมื่นเมื่อไหร่ คนอาจจะกังวลกันมากขึ้นว่ามันมากกว่า SARS แต่ในอีกมุมคือ SARS ใช้เวลาประมาณ 4 เดือน ถึงจุดพีค แล้วค่อยๆ ลดลง ถ้าเป็นรูปแบบเดียวกัน โคโรนา อู่ฮั่น ก็อาจจะใช้เวลาสั้นกว่าที่จะพีคและลดลงเร็วกว่าก็ได้
2. ถ้าอัตราการเสียชีวิตมากขึ้นจะน่าเป็นห่วง แต่ถ้ารักษาระดับที่ 2-3% แบบนี้ได้ ก็ถือว่าไม่รุนแรงมากนัก
3. ถ้ามีคนเสียชีวิตในเมืองไทยจะน่าเป็นห่วง ตอนนี้เราพบผู้ติดเชื้อ 14 ราย ยังไม่มีใครเสียชีวิต ถือว่าดี แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะว่ายังอยู่ในช่วงที่ไวรัสแพร่เชื้อได้อยู่
4. ระยะเวลาฟักตัว 14 วัน จีนเริ่มประกาศปิดเมืองอู่ฮั่นตั้งแต่ 22 มกราคม และทยอยปิดเมืองรอบๆ ตามมาอีก แปลว่า ช่วงสัปดาห์ที่ 3-9 กุมภาพันธ์ อาจจะเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และถ้าควบคุมได้ หลังจากนั้นอาจจะทรงตัวได้
5. มีข่าวว่าเริ่มมีแนวโน้มของวัคซีนที่อาจจะรักษาโรคได้ แต่ก็ต้องบอกว่ายังไม่ได้ทดลองมาก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ ในการทดสอบว่าใช้งานได้แค่ไหน ผลข้างเคียงเป็นอย่างไร
โดยสรุปแล้ว ถ้าดูจากข้อมูลที่เป็นทางการ อาจจะประเมินได้ว่า ไวรัสโคโรนา แพร่เชื้อเร็ว และน่าจะเร่งตัวขึ้นในไม่ช้า แต่ความรุนแรงอาจจะน้อยกว่า SARS และ MERS ต้องภาวนาอย่าให้มีเคสร้ายแรงโดยเฉพาะในประเทศไทย ส่วนการรักษา ก็เริ่มเห็นแสงสว่างจาก วัคซีน ที่ต้องทดสอบต่อไป
=====================
ถ้ามาพิจารณาในแง่การลงทุน ทุกครั้งที่เกิดเรื่องร้ายแรงระดับโลกแบบนี้ ตลาดหุ้นร่วงแรงก่อนเลย เพราะเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะลุกลามรุนแรงแค่ไหน แต่หลังจากนั้น ตลาดหุ้นก็จะปรับตัวกลับขึ้นไปได้มากกว่าทุกครั้งไป
ทีนี้ถ้าเรามาดูกันถึงหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนากันบ้าง
1. สนามบิน สายการบิน
หุ้นหน้าด่านกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ เพราะนักท่องเที่ยวจะเดินทางกันน้อยลง เพราะปิดเมืองส่วนนึง และเพราะความกลัวอีกส่วนนึง
2. หุ้นน้ำมัน
เมื่อการเดินทางลดลง การบริโภคน้ำมันก็ลดลงตาม ทำให้หุ้นพลังงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันทั้งหลายได้รับผลกระทบด้วย
3. โรงแรม สปา ร้านอาหาร
พอนักท่องเที่ยวไม่มา โดยเฉพาะจีนที่มีสัดส่วนเกือบ 30% (มาเดือนละประมาณ 900,000 คน) ก็ทำให้รายได้ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นโรงแรม สปา ร้านอาหาร ลูกค้าหายไปด้วย
4. โรงพยาบาล สินค้าอุปโภคบริโภค
ไม่ใช่แค่คนจีนมาพัก มากิน แต่ว่าสินค้าที่ขายคนจีนทั้งเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว ขนม แป้งเย็น ยาหม่อง รวมไปทั้งโรงพยาบาลที่ลูกค้าเป็นคนจีนเยอะ ก็จะได้รับผลกระทบตามมาด้วย
5. ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง
จากความกลัวการแพร่เชื้อ ทำให้หลายคนอาจจะเริ่มไม่อยากออกจากบ้าน หรือไปอยู่ในสถานที่ปิด สถานที่แออัด หรือที่ๆคนเยอะๆ อย่างห้าง หรือโรงหนัง ก็จะได้รับผลกระทบด้วย
ทำให้ไม่แปลกใจว่า ทำไมหุ้นหลายตัวที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าว ราคาถึงได้ลงมาเยอะ เพราะฉะนั้นนี่อาจเป็นโอกาสในวิกฤตที่ซ่อนอยู่ ถ้าเราประเมินได้ว่าเหตุการณ์ในอนาคตจะดีขึ้นและหุ้นจะกลับมาเหมือนในอดีต เราก็ต้องกล้าลงทุนในเวลาที่มือสั่นขาสั่นกันแบบนี้
แต่ความยากคือ เราไม่รู้ว่า เรื่องนี้จะจบที่ตรงไหน และเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น แผนการลงทุนสำคัญ การแบ่งไม้ซื้อสำคัญ และการติดตามข่าวสารก็สำคัญเช่นกัน
นอกไปจากนี้ อยากให้เรามองดูหุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ตัวที่งบยังดี กำไรยังโต แต่ดันลงมากับเค้าด้วย นั่นยิ่งเป็นโอกาสดีเข้าไปใหญ่
วิกฤตมาแล้ว โอกาสมาแล้ว พร้อมมั้ยครับทุกคน
ที่สำคัญอย่าลืมดูแลสุขภาพตัวคุณและคนที่รักด้วยนะครับ