เพิ่งจะผ่านไปแค่เดือนเดียว แต่มีหลากหลายเหตุการณ์ มากซะจนคิดว่าผ่านไปครบปีแล้ว เพื่อนๆ ยังไหวกันอยู๋หรือเปล่าครับ เราลองมาไล่เรียงเรื่องราวเด่นๆ กัน

- ไฟป่าออสเตรเลีย
- สหรัฐฯ สังหารนายพลอิหร่าน
- ภัยแล้ง น้ำประปาเค็ม
- ปัญหาเสียบบัตรแทนกันในสภา ทำให้ พ.ร.บ. งบประมาณล่าช้า
- ไวรัสโคโรน่า อู่ฮั่น

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข่าวร้าย ยังมีข่าวดีข่าวใหญ่ระดับโลกให้ดีใจ 2 เรื่องด้วยกัน นั่นก็คือ

- สงครามการค้าลงนามเฟส 1 กันแล้ว
- ลิเวอร์พูล ยังไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ลีก ชนะ 24 เสมอ 1 มี 73 แต้ม

=================

SET Index ปิดเดือนแรกที่ 1514.14 ลดลง 4.1% เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่แล้ว หุ้นที่น่าสนใจมีอะไรกันบ้างมาดูกันครับ

1. หุ้นท่องเที่ยวโดนไวรัสกันถ้วนหน้า

เป็นหุ้นหน้าด่านที่ร่วงกันทั้งแผงเพราะกระทบโดยตรงจากไวรัสโคโรนา ซึ่งจนถึงตอนนี้มีผู้ติดเชื้อหมื่นกว่าคน (มากกว่า SARS ที่ประมาณ 8 พันคน) แต่โชคดีที่การเสียชีวิตอยู่ที่สามร้อยกว่าคน ทำให้อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 2% ต้นๆ

คือถ้ามองแค่ตัวเลขหลักหมื่นอาจตกใจกัน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีกเพราะต้นเดือนกุมภาพันธ์อยู่ในระยะฟักตัว 14 วัน แต่ถ้ามาดูอัตราการเพิ่มขึ้นก็ต้องบอกว่าไม่ได้เพิ่มแบบเร็วมากเหมือนช่วงแรกๆ

อาจจะพอสรุปแบบมองโลกในแง่ดีว่า ถ้าการควบคุมทำได้ดี ตัวเลขอัตราการติดเชื้อน่าจะเริ่มเป็นเส้นตรง

สถานการณ์น่าจะดีขึ้นก่อนวันวาเลนไทน์พอดี (ไม่มีข้ออ้างในการไม่ซื้อดอกไม้นะครับ คุณผู้ชาย)

ในแง่ของราคาหุ้นตอนนี้ ลดลงมากันค่อนข้างเยอะ

AOT 70.50 บาท
MINT 30.75 บาท
CENTEL 21.70 บาท
ERW 4.30 บาท
VRANDA 6.55 บาท
SPA 12.20 บาท

ใครมองว่าเป็นโอกาส ก็ต้องลองไปทำการบ้านกันต่อว่า ถ้าทุกอย่างคลี่คลาย หุ้นตัวไหนจะกลับมาก่อน ต้องลองไปดูสัดส่วนรายได้ว่ามาจากโรงแรมเท่าไหร่ ร้านอาหารเท่าไหร่ อยู่ในหรือนอกประเทศ ลูกค้าคนจีนเยอะแค่ไหน

2. กลุ่มธนาคารประกาศงบปีไม่สวยนัก

แบงค์เป็นกลุ่มแรกที่มีการประกาศงบออกมา ถ้าดูกำไรรวมของ 10 แบงค์ (ไม่รวม TCAP) กำไรสุทธิอยู่ที่ 202,209 ล้านบาท +3.7%

แต่ถ้ามาดูลึกๆ จะพบว่ามีหลายแบงค์ที่ได้กำไรจากการลงทุนเยอะ จากการขายหุ้นใน Q4 กันเยอะ ขณะเดียวกันบางแบงค์ก็ดูจะเริ่มมีความกังวลของการตั้งสำรอง NPL เพิ่มขึ้น สินเชื่อก็ดูไม่ได้ขยายตัวมากนัก ขณะที่แนวโน้ม NIM เองก็ยังลดลงอยู่ ถ้าเรามาดูราคาหุ้นแบงค์ใหญ่จะพบว่า

SCB 98 บาท
KBANK 140.50 บาท
BBL 144 บาท
KTB 16.10 บาท

เราจะเริ่มเห็นว่า ตอนนี้หลายแบงค์มี P/E ต่ำสิบ P/BV ต่ำหนึ่ง และเริ่มมีการใช้นโยบายซื้อหุ้นคืน หรือจ่ายปันผลมากกว่าในอดีต ใครสนใจแบงค์ไหน ลองไปทำการบ้านในแต่ละตัวกันครับว่าน่าสนใจแค่ไหน และติดตามการประชุมของ กนง. กันว่ามีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยมั้ย

3. ปรากฏการณ์ซื้อหุ้นคืน

ไม่ใช่เฉพาะ KBANK, TCAP แต่ยังมี SPALI, CK, TPIPL ที่ออกมาประกาศนโยบายซื้อหุ้นคืน นัยหนึ่งเพราะตัวเองมีเงินสดเพียงพอ และเห็นราคาหุ้นลดลงมาเยอะ อาจจะคุ้มกว่าที่จัดสรรเงินมาก้อนหนึ่งเพื่อซื้อหุ้นของตัวเอง

ทำให้ ROE เพิ่ม EPS เพิ่ม และถ้าอนาคตดี ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ก็เท่ากับว่าได้หุ้นราคาถูก (และส่วนมาก บริษัทมักทำการลดทุน มากกว่าเอาหุ้นไปขายคืนในตลาด)

แต่อย่างที่บอกกันไว้ คือ เราต้องติดตามให้ดีว่า สุดท้ายแล้วแต่ละบริษัทจะซื้อหุ้นคืนมากน้อยแค่ไหน เพราะหลายครั้งที่ซื้อไม่ครบ (ซึ่งไม่ผิด) และในระยะกลางถึงยาว ถ้าผลประกอบการยังไม่ดี ราคาหุ้นก็อาจจะไม่ขึ้นต่อเนื่องได้

4. หุ้นโรงไฟฟ้าค้ำตลาด แต่เริ่มแผ่ว

หุ้นพระเอกที่ช่วยดันตลาดไว้ ไม่ว่าจะเป็น GULF, GPSC, BGRIM ที่ราคาขึ้นอย่างร้อนแรง โดยเฉพาะ GULF วิ่งไปถึง 200 ก่อนย่อลงมา แต่ช่วงปลายเดือนเราพอจะเริ่มเห็นการปรับตัวลดลงของหุ้นโรงไฟฟ้าหลายตัวก็ต้องระมัดระวัง และวางแผนการลงทุนให้ดี

พอพูดถึงโรงไฟฟ้า ทำให้นึกถึง EGCO หุ้นพี่ใหญ่ในกลุ่มนี้ที่เผลอแป็บเดียวราคากลับมาที่ 304 บาทแล้ว จำได้ว่าปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ยังวิ่งไปแตะเกือบ 400 บาท (ทำ high ที่ 396) ก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร

5. หุ้นขึ้นไม่สนใจตลาด

ในภาวการณ์ตลาดไม่สู้ดีแบบนี้ ก็ยังมีหุ้นที่วิ่งขึ้นแบบไม่สนใจใครอยู่หลายตัว เช่น BAM, TQM, OSP, SAWAD, CPF, TSE, MC ฯลฯ ซึ่งอาจจะมาจากเหตุผลเฉพาะตัวที่นักลงทุนอาจจะมองว่า ผลประกอบการของบริษัทดีอยู่แล้ว เศรษฐกิจไม่ดีอาจทำให้ซื้อหนี้ได้ถูก บางบริษัทไปเปิดโรงงานต่างประเทศ บางบริษัทเนื้อหมูราคาสูงขึ้นมาก

เรียกได้ว่า เดือนที่หนึ่งผ่านไปแบบโหดหินสำหรับใครหลายคน แต่อย่าเพิ่งท้อครับ ตอนนี้เราเข้าสู่เดือนแห่งความรักแล้ว สิ่งดีดีกำลังจะมา เราอาจจะต้องทำการบ้านหนักขึ้น เจาะลึกรายบริษัทมากขึ้น หรือว่าปรับแผนการลงทุนใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพตลาด

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ เดือนนี้ขอให้ความรักเป็นสีเขียว