ยุคนี้ คนไทยส่วนใหญ่ เก็บเงินกันได้ยากยิ่ง
บางคนถึงกับบอกว่า เอาแค่ไม่มีหนี้ หรือมีหนี้แต่ยังมีปัญญาใช้คืน ... ก็ดีขนาดไหนแล้ว
รายรับปวดขมับ... รายจ่ายเรียงหน้ามาฉับๆๆ
แต่ท่านเชื่อหรือไม่ หากลองลิสต์รายจ่ายรายเดือนของท่านออกมาดู จะตกใจ
ว่ามีค่าใช้จ่ายบางรายการ สำหรับครอบครัวคนไทย
ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย ... ไม่เคยเขียม...ไม่ต้องคิดมากกับความคุ้มค่า ... จ่ายไม่ได้แล้วรู้สึกผิด...จ่ายเท่าไหร่ เท่ากัน ...
===============
นั่นคือ สิ่งที่จ่ายให้กับ "ลูก"
===============
.
.
หลายบ้านที่เจอมา
ค่าเทอมลูกอินเตอร์ ปีละ 6 แสนกว่า
ค่าเรียนพิเศษสารพัดวิชา ปีละหลายหมื่น
ค่าเรียนเต้น ร้องเพลง
ค่าเรียนไวโอลิน เปียโน ขิม
ค่าเรียนจินตคณิต
ค่าเรียน Summer ต่างประเทศ
ค่าทัศนศึกษา
ค่าเรียน นู่น นี่ นั่น
ยังไม่นับข้าวของเครื่องใช้ชั้นดีที่สุด ที่ซื้อประเคน
แถมวันเกิด วันปีใหม่ ต้องซื้อของแจกดีๆ จัดเลี้ยงให้เพื่อนลูกทั้งห้องอีก
ฯลฯ
.
.
เด็กประถม ยังมีค่าใช้จ่ายต่อปีเหยียบล้าน
ถ้าคุณพ่อคุณแม่รวย จ่ายไหว ชิลล์ชิลล์ กับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ลุยเลยครับ
ตราบใดที่เด็กสนุก ไม่เครียด ไม่เบื่อ ไม่เหนื่อย
สิ่งที่พบเจอมากๆ คือ หากเด็กได้รับการจัดเต็ม ตั้งแต่ยังเล็ก จะ "มีแนวโน้มสูง" ที่เด็กจะเรียกร้อง "สิ่งที่ดีที่สุด" จากพ่อแม่ไปจนโต
-> ชานมธรรมดา 40 กินไม่ได้ ... ต้องชานมเสือโคร่งแบบพิเศษ รับจากอุโมงค์ แก้วละ 150+
-> กระเป๋านักเรียนธรรมดา 500 ใช้ไม่ได้ ...ต้องกระเป๋านักเรียนหนังแท้ Jacob ใบละ 5,800 บาท
-> มือถือรุ่นธรรมดา 4พันใช้ไม่ได้... ต้องไอโฟน รุ่นท้อปออกใหม่ เมมสุด ซัดไป 4หมื่นกว่า
ถึงตอนนั้น จะโทษเด็กฝ่ายเดียว ว่ารสนิยมสูง ... คงไม่ได้
เพราะพ่อแม่เองนี่แหละ ที่มีส่วนสร้างให้เขาเป็นแบบนี้
.
.
ด้วยความที่พ่อแม่ไทย รักลูกมาก ไม่แพ้ชาติใดในโลก เลยทำให้เก็บเงินไม่อยู่...เพราะเราจ่ายกับลูกอย่างหักโหม
ผมเสนอให้แอบดูแนวคิด การสอนเรื่องเงิน ที่บางประเทศเขาสอนกัน มันมี 4 ขั้น อนุบาลยันมหาวิทยาลัย
1. เด็กอนุบาล-ประถมต้น ... "สอนออมเงิน"
หยอดกระปุก อดใจอย่าใช้เงินทะลุกระเป๋า อย่าหมดเงินกับ อเวนเจอร์/เอลซ่า หน้าโรงเรียน หยอดกระปุกให้ได้ทุกวัน มากน้อยไม่เป็นไร เอาให้เคยชิน
เขาต้องรู้จักคำว่า "เหลือเก็บ"
เงินมันหมดได้ หมดแล้วหมดเลย ถ้าไม่มีเหลือเก็บไว้จะทำไง
.
.
2. เด็กประถมปลาย-ม.ต้น..."สอนใช้เงิน"
ต้องรู้จักของจำเป็น vs. ของฟุ่มเฟือย รู้จักซ่อมของก่อนซื้อใหม่ รู้จักเทียบความคุ้มค่า ของแพงอาจจะใช้คุ้ม ของถูกอาจจะใช้ไม่คุ้ม ใช้เงินให้เป็น
เขาต้องรู้จักคำว่า "ซื้อมาคุ้ม กับซื้อไปไม่คุ้ม"
.
.
3. เด็กม.ปลาย..."สอนให้รู้จักหาเงิน"
อาชีพที่ทำได้มันมีอะไรบ้าง อะไรได้เงินเยอะ อะไรได้น้อย อย่าอายทำกิน บอกเขาครับว่า เด็กมหาลัยตปท.เขามีอิสระเสรีกับชีวิตเพราะ เขาต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองด้วย ไม่ใช่ยังแบมือขอ แต่ร่ำร้องอิสระเสรี
เขาต้องรู้จักคำว่า "ทำมาหากิน"
ตอนนี้ยังทำไม่ได้ไม่เป็นไร แต่อาชีพใหม่ๆเขาต้องรู้จัก และต้องคิดกว้างกว่ากรอบเดิมๆสมัย30ปีก่อนที่มีแค่ หมอ พยาบาล วิศวะ ทหาร ตำรวจ ครู ... ควรมีอาชีพใหม่ๆให้รู้จักแบบ เชฟ ยูทูปเบอร์ คอนเทนท์ครีเอเตอร์, E commerce merchant , Dev, Data Scientist ฯลฯ ไรงี้
.
.
4. เด็กมหาลัย..."สอนให้รู้จักลงทุน" เขาต้องเข้าใจ time value of money ต้องรู้เรื่อง Risk & Return ต้องรู้เรื่อง Asset Class (หุ้น บอนด์ ...) และมีความเข้าใจในการลงทุนระยะยาว วางแผนการเงินให้ชีวิตตัวเองได้ ไม่สร้างหนี้บริโภค เรียนจบแล้วไม่ต้องเกาะพ่อแม่ต่อ
เขาต้องรู้จักคำว่า "ลงทุนเพื่ออนาคต"
.
.
ผมมั่นใจว่า การที่พ่อแม่มอบความรู้เหล่านี้ให้กับลูกของท่าน ไม่เพียงแต่เด็กจะโตขึ้นมาแบบ Money Smart Kids (เด็กฉลาดทางการเงิน)...แต่ จะช่วยให้พ่อแม่ใช้เงินในสิ่งฟุ่มเฟือยกับลูกน้อยลงด้วย
พ่อแม่ควรต้องสอนลูกเรื่องเงิน ...ไม่ต่างอะไรกับสอนลูกอาบน้ำ แปรงฟัน เพราะมันเป็นทักษะการดำเนินชีวิต
เงินที่ประหยัดได้จากที่เคยโหมจ่ายให้ลูก ...สสารไม่ได้หายไปไหน
แต่จะกลายร่างเป็น "เงินเกษียณ" ที่ท่านจะไม่ต้องมาพึ่งลูก ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ยามที่ไม่มีรายได้แล้ว
เพื่อสุดท้ายพ่อแม่จะได้เก็บเงินอยู่แบบยั่งยืน ลูกๆดำเนินชีวิตแบบฉลาดรู้ทันการเงิน
ทุกคนจะมีสุขคูณสิบ จบด้วยท่าฟินนาเล่