ถ้ามีโจทย์ปัญหา 10 ข้อ แต่ละข้อได้ 2 คะแนนเท่ากัน

มีข้อยาก 2 ข้อ และข้อง่าย 8 ข้อ คุณจะเลือกทำข้อไหนก่อนครับ

 

ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่น่าจะเลือกทำข้อง่ายก่อน เพราะถ้ามัวไปจมอยู่กับข้อยาก สุดท้ายอาจทำไม่ทัน กลายเป็นว่าสอบตกซะงั้นทั้งๆ ที่ทำข้อยากได้

 

แล้วในชีวิตจริงของเรา เราเลือกทำโจทย์แบบไหนกันครับ?

 

บางคนตั้งเป้าลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ใน 2 เดือน ทั้งๆ ที่วันๆ ชอบกินและไม่ชอบออกกำลังกาย

บางคนตั้งเป้าจะไปวิ่งมาราธอน ทั้งๆ ที่ ชีวิตนี้ไม่เคยออกวิ่ง รองเท้าผ้าใบยังใหม่เอี่ยม ไม่ได้เอาออกมาจากกล่อง

และก็อีกหลายคนที่ตั้งเป้าจะมีพอร์ตร้อยล้านพันล้าน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเริ่มหัดลงทุน

 

ผมไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้นะครับ เพียงแต่ว่าการตั้งโจทย์แบบนี้ บางทีมันดูยากเกินไป และหลายครั้งถ้าเราทำไม่สำเร็จก็จะทำให้เราท้อและเลิกล้มความตั้งใจลงไปเสียก่อน

 

แต่ถ้าเราเปลี่ยนโจทย์ใหม่เป็นแบบนี้ ฟังดูน่าสนใจกว่ามั้ยครับ

 

• ลดน้ำหนักเดือนละ 1 กิโลกรัม พอผ่านไป 10 เดือน น้ำหนักคุณก็จะลดลง 10 กิโลกรัม ตามที่ตั้งใจ มันอาจจะใช้เวลานานกว่าเดิม แต่ก็ถึงเป้าหมายเหมือนกัน

 

• เริ่มต้นออกวิ่งวันแรกที่ 1 กิโลเมตรให้ได้ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทางให้มากขึ้นทุกวัน อาจจะเพิ่มวันละ 500 เมตร ก็ได้ เชื่อว่าวันนึง เราก็น่าจะไปถึงมาราธอนได้ ถ้าไม่หยุดก้าวขาซะก่อน

 

• เรื่องของการลงทุนก็เช่นกัน วันนี้มี 1 ล้านบาท ถ้าทำผลตอบแทน 26% ต่อปี ทุก 10 ปี พอร์ตจะเปลี่ยนหลักมี 0 เพิ่มมาด้านท้าย กลายเป็น 10 ล้านบาท และภายใน 20 ปี ก็จะมีเงิน 100 ล้านบาท ถ้ารู้สึกว่านานไป ก็พยายามให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการหาเงินต้นเพิ่ม หรือทำผลตอบแทนให้ดีขึ้น ก็จะไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น

 

• หรือบางคน All in ลงทุนหุ้นตัวเดียวกะว่าจะเจอหุ้นเด้ง ผลตอบแทน 100% แต่บางครั้งผิดพลาดกลายเป็นพอร์ตติดลบแทน ถ้าเราเปลี่ยนใหม่เป็นกระจายความเสี่ยง ลงทุนหุ้น 5 ตัว แต่คาดหวังผลตอบแทนตัวละ 20% แทน ผลลัพธ์น่าจะใกล้เคียงกัน แต่แบบนี้ฟังดูง่ายกว่ามั้ยครับ

 

ผมคิดว่าหลายครั้งที่การลงทุนของเราไม่ประสบความสำเร็จ บางทีมันไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ แต่มันอาจเป็นเพราะเรายึดติดว่าต้องให้เห็นผลลัพธ์แบบรวดเร็วทันใจ จนเผลอไปตั้งโจทย์ยากๆ สุดท้ายก็ทำข้อสอบไม่ได้

 

มาถึงตรงนี้ เรารู้อยู่แล้วครับว่าอยากให้ชีวิตของเรามีผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบไหน

มาตั้งโจทย์ง่ายๆ ให้ตัวเองกันดีกว่าครับ