ฟังดร.นิเวศน์ ให้สัมภาษณ์ถึงมุมมองตลาดหุ้นบ้านเราในปีหน้ากับช่อง Money Chat ว่าจะขึ้นหรือลงให้ดู 5 ปัจจัย คือ
1. ความถูกแพงของตลาด
ถ้า P/E เกิน 15 เท่า ถือว่าแพง ซึ่งตอนนี้ 18-19 เท่า ก็ถือว่าแพง (แต่มุมมองส่วนตัว ผมว่าช่วงหลังๆ มีหุ้น P/E แพงๆ ขนาดใหญ่เข้ามาเยอะด้วย) แต่ถ้าเอาส่วนกลับคือ E/P เทียบกับดอกเบี้ยเงินฝาก ก็ยังถือว่าการลงทุนในหุ้นยังดูน่าสนใจกว่า
2. คาดการณ์ EPS ดีไหม
คือ ดูแนวโน้มผลประกอบการในอนาคตของบริษัทจดทะเบียนว่าแนวโน้มดีขึ้นหรือแย่ลง เท่าที่ผมได้ยินก็มองว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นนะ คิดว่าลดลงนิดหน่อย แต่เข้าใจว่าตัวเลขแบบเป็นทางการยังไม่ออก
3. อัตราดอกเบี้ย
ตอนนี้ก็ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว คงจะไม่ขึ้น แต่ถ้าจะลดคงได้อีกไม่เยอะ (เท่าที่ผมฟังจากผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยที่เพิ่งให้สัมภาษณ์ก็น่าจะไปในโทนเดียวกัน คือ อาจจะลดได้นะ แต่คงไม่ได้แบบเยอะๆ หรือไปถึงระดับ 0% แต่ผู้ว่าน่าจะอยากเห็นนโยบายการคลังมาช่วยด้วย)
4. การขึ้นลงของดัชนีตลาด
ดร. บอกว่า ดัชนีตลาดบ้านเรามันขึ้นๆ ลงๆ มันจะไม่มีแบบขึ้นยาวหรือลงยาวหลายปี อย่างมากก็ 2-3 ปี อย่างปีที่แล้วติดลบ ถ้าปีนี้ลบต่อ ปีหน้าก็อาจจะดีกว่านี้
5. วิกฤตเศรษฐกิจ
พื้นฐานของประเทศดูแข็งแกร่ง เงินสำรองเยอะ แต่ห่วงต่างประเทศมากว่า อย่างตลาดหุ้นที่สหรัฐฯ ก็ขึ้นมาต่อเนื่อง ถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมาก็คงกระทบประเทศอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฟังมุมมองของ ดร. นิเวศน์ ในภาพใหญ่แล้ว ก็จะเห็นว่า ตลาดบ้านเราเองก็อาจจะไม่ได้ดีซักเท่าไหร่ ไม่ได้ถูกมาก และไม่ได้มีปัจจัยในการเติบโตมากๆ ที่เห็นได้ชัด
========================
และถ้าไปฟังบทสัมภาษณ์ต่อมาของดร. นิเวศน์กับ Shakehoon ดร.ให้หลักการว่า ควรจะเลือกลงทุนแบบ “Defensive” คือ เน้นตั้งรับ เน้นความเสี่ยงต่ำ โดยมีวิธีการเลือกหุ้นคือ
1. ลงทุนหุ้นใหญ่
2. ที่จะไม่ถูก disrupt ง่าย
3. P/E < 10
4. ปันผล 3% ขึ้นไป
ปี 2020 อาจจะไม่ใช่ปีที่ง่ายนัก ดร.เลยแนะนำให้ปลอดภัยไว้ก่อน เพื่อป้องกันการขาดทุน แต่ประเด็นที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งคือ ตลาดหุ้นไม่ได้ลงแบบต่อเนื่อง อย่างมากก็ 2-3 ปี แล้วต้องกลับมาบวก
ทำให้ไปนึกถึงบทความ passive way ของ Jitta ที่มีการคำนวณผลตอบแทนแบบ Rolling Returns ของ SET ไว้ตั้งแต่ปี 2518-2560
ต้องอธิบายคำว่า Rolling Returns ก่อน คือ เป็นการดูผลตอบแทนหลายๆ ปี เทียบกับปีที่เริ่มลงทุน แล้วคำนวณดูว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเป็นเท่าไหร่ เพราะถ้าดูรายปี จะมีทั้งปีที่ดีและแย่ แต่ถ้าดู Rolling จะให้ภาพระยะยาวที่ชัดเจนกว่า โดย Jitta คำนวณ Rolling Returns ของ SET ไว้ตั้งแต่ 3,5,10 และ 20 ปี
ผลลัพธ์ที่ได้โดยสรุปของ SET ตั้งแต่ปี 2518-2560 นั้นน่าสนใจมาก คือ
- Rolling Returns 5 ปี ได้รับผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 8.16% ต่อปี
- Rolling Returns 10 ปี ได้รับผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 11.61% ต่อปี
- Rolling Returns 20 ปี ได้รับผลตอบแทนทบต้นอยู่ที่ 11.83% ต่อปี
นั่นแปลว่า ยิ่งถือหุ้นยาว โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงมีมากกว่าถือสั้นๆ สาเหตุคงเป็นเพราะว่า ตลาดได้แสดงศักยภาพในการเติบโตออกมาสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่ดีในระยะยาว และผ่านรอบวิกฤตมาได้ พูดง่ายๆได้ว่า ยาวๆ แล้วถ้าภาพใหญ่ดี SET ก็ขึ้นตาม
แต่คำถามที่เราอาจจะสงสัย คือ ถ้างั้นถือ 10 ปี ก็พอมั้ง ผลตอบแทนใกล้เคียง 20 ปีเลย
แต่ต้องตอบแบบนี้ว่า ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เราลงทุนด้วยว่า ลงทุน 10 ปีไหน เริ่มเมื่อไหร่ จบเมื่อไหร่ เพราะจากผลการคำนวณ ไม่ว่าจะเริ่มลงทุนปีไหนก็ตาม ถ้าถือ 20 ปี จะไม่มีโอกาสขาดทุนเลย แต่ถ้า10 ปี จะมีโอกาสขาดทุน 20% ถ้าดันไปเริ่มปีผิด เหมือนโยนหัวก้อย 10 หน แล้วออกก้อย 2 หน
ถ้าให้สรุปทั้งมุมมองของ ดร.นิเวศน์ และการทำ Rolling Returns ของ Jitta หัวใจ คือ การลงทุนที่ปลอดภัย เลือกหุ้นให้ถูกตัว และลงทุนอยู่กับมันไปนานๆ สุดท้ายผลลัพธ์ที่ดีก็จะออกมาให้เราเห็นเองในที่สุด
เพราะฉะนั้น ปี 2020 ไม่ว่าตลาดจะผันผวนแค่ไหน วิกฤตจะมาหรือไม่ อาจไม่สำคัญเท่ากับการที่เราเลือกหุ้นเป็นหรือเปล่า และยืนหยัดอยู่กันไปยาวๆ จนเป็น Last Man Standing ได้หรือไม่
Source:
https://www.youtube.com/watch?v=k2zxjkuV7gk&t=665s
https://www.youtube.com/watch?v=zeZPlQWWCMw
https://passiveway.com/how-to-invest-without-any-loss/