จริงๆแล้ววัฒนธรรมของฝรั่งมีทั้งสอดคล้องกับสังคมไทย และไม่เหมาะสมสังคมไทย โดยถ้าสังคมไทยคัดเลือกส่วนที่ดีงาม นำมา Apply ใช้คน ก็น่าจะทำให้สังคมไทยดีขึ้น แต่คนไทยบางส่วนชอบเลือกส่วนที่ไม่ค่อยดีมาใช้อย่างผิดๆ อย่างเช่นวันวาเลนไทน์ การให้ความเคารพผู้อาวุโส การดูแลบุพการี เป็นต้น ส่วนวัฒนธรรมของฝรั่งที่ผมเห็นว่าเอามาใช้เป็นอย่างยิ่ง เช่นการให้บุตรหลานไปทำงาน part time ในช่วงช่วงปิดเทอม ในขณะที่คนไทยมักจะพาลูกไปห้าง หรือถ้ารวยหน่อยก็ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือส่งไปเรียนซัมเมอร์ ถ้าผมมีลูก ผมตั้งใจจะให้ลูกไปทำงาน part time หรือทำงานอดิเรกที่สร้างรายได้ โดยจะโปะเงินให้เป็น 2 เท่าของรายได้ที่ลูกหาได้ เป็นการสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าของเงิน จะได้ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สิ่งใดที่ลูกอยากได้ก็ต้องทำงานเพื่อแลกกับสิ่งเหล่านั้น ถ้าอยากได้มือถือราคาแพงๆ สมมุติว่าราคา 24,000 บาทนั่นหมายความว่า ลูกของผมจะต้องทำงานให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 8.000 บาทแล้วที่เหลืออีก 16.000 บาท ผมก็จะโปะให้ลูก มือถือเครื่องนี้น่าจะทำให้ลูกผมภาคภูมิใจกว่าเพื่อนๆของเขาว่า ได้มาจากหยาดเหงื่อของตัวเอง แล้วก็จะทำให้ผมภูมิใจว่าลูกของผมสามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมมั่นใจได้มากขึ้นว่า อนาคตของลูกผมคงจะไม่ใช่เป็นคนที่จะเป็นภาระของผมและประเทศชาติ และไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว เหมือนอย่างคนอื่นๆในประเทศไทย
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะพูดถึงในบทความนี้ก็คือ new year resolution โดยปกติช่วงปลายปี ฝรั่งส่วนใหญ่มักจะชอบทำ new year resolution คือวางแผนว่าจะทำอะไรบ้างในปีใหม่นี้ ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าเป็นสิ่งที่ดีโดยเราควรจะทบทวนสิ่งที่เราทำไปและสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา ครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน สังคมไทย และโลก ในรอบปีที่ผ่านมา ว่ามีอะไรที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร สิ่งที่ดีแล้วก็ควรจะดำเนินต่อไป ส่วนสิ่งที่ไม่ดีแล้วก็ควรคิดอ่านที่จะแก้ไขให้มันดีขึ้น เพื่อจะได้ไม่สร้างปัญหากับเราในภายภาคหน้า
ส่วนตัวผมเอง ในฐานะนักลงทุน ก็คงจะต้องทบทวนผลลัพธ์จากการลงทุนด้วยเช่นกัน โดยผมจะทบทวนดูว่า
1.การลงทุนในปีที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนไปมีรายการไหน ที่ตัดสินใจถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร โดยเปรียบเทียบกับ Benchmark โดยหุ้นผมจะใช้ SET INDEX เป็น Benchmark บวกกับอัตราเงินปันผล ซึ่งผมมักจะตีคร่าวๆ ว่ามีค่าเท่ากับ 3% ซึ่งก็จะคำนึงถึงสภาพตลาดหุ้นและ Sector ของหุ้นที่ผมลงทุนประกอบด้วย และจุดมุ่งหมายที่ตัดสินใจลงทุนตั้งแต่แรกว่าคิดอย่างไร และเป็นไปตามที่คิดไหม ส่วนอสังหาริมทรัพย์ ผมมักจะดูจากผลตอบแทนที่ได้รับ และความรวดเร็วในการขาย
2.ทบทวนหนี้สิน (ถ้ามี) ว่าเป็นหนี้ที่เกิดจากอะไรบ้าง และอัตราดอกเบี้ยสูงต่ำอย่างไร โดยพยายามที่จะไม่ก่อหนี้เพื่อสินค้าที่
เสี่อมมูลค่าได้ง่าย เช่น รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ปัจจุบันนี้ธุรกิจผ่อนสินค้ารุกไปถึงเครื่องสำอางและทัวร์แล้ว ผมไม่เข้าใจคนที่ซื้อสินค้าเหล่านี้ด้วยเงินผ่อนคิดอย่างไร โดยเฉพาะเครื่องสำอางและทัวร์ ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นกับชีวิตเลย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยประเภทสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก ประมาณ 18-25 %ต่อปี การที่ท่านจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนในระดับนั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว ขนาด Warren Buffet นักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ยังทำผลตอบแทนได้ประมาณ 20 % เท่านั้น ยกเว้นแต่ท่านมีเงินมากพออยู่แล้ว อยากซื้อมาใช้ หรืออยากไปเที่ยว อย่างนั้นไม่ว่ากัน ส่วนคนที่เป็นหนี้ ควรจะพยายามลดและล้างหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงที่สุดไปก่อน ส่วนมากมักจะเป็นสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล หลังจากล้างหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงไปหมดแล้วค่อยมาเปรียบเทียบดูว่า ระหว่างคงหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ กับมีเงินเหลือนำไปลงทุนในทรัพย์สินที่คาดหวังผลตอบแทนได้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตั้งแต่ 1.50-2 เท่าเป็นต้นไป หรือจะไปล้างหนี้ให้หมดเสียก่อน แล้วค่อยคิดที่จะลงทุน นั่นคงแล้วแต่ Risk Appetite ของแต่ละท่านและความเชื่อมั่นของทรัพย์สินที่จะลงทุนว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่คาดหวัง และควรตั้งสัตย์ปฏิญานตนว่าจะไม่ก่อหนี้สินเพื่อซื้อสินค้าที่เสี่อมมูลค่าได้ง่ายดังกล่าวอีก ยกเว้นการก่อหนี้เพื่อซื้อสินทรัพย์ที่จะทวีมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป เช่น บ้าน หรือ คอนโดไว้อาศัยอยู่เองหรือเพื่อปล่อยเช่า แต่ควรที่จะได้ผลตอบแทนจากการเช่าไม่ต่ำกว่า 5-6% ถ้าอย่างนี้ ผมขอสนับสนุนเต็มที่ครับ เพราะว่าท่านจะประหยัดค่าเช่าบ้าน และไม่ว่าท่านจะจ่ายค่าเช่าไปกี่สิบปี ท่านก็ไม่มีวันที่จะได้เป็นเจ้าของ ในขณะที่ถ้าท่านผ่อนบ้านหรือคอนโดกับธนาคาร ภายใน 20-30ปี แล้วแต่ระยะเวลาที่ท่านกู้ ในที่สุดท่านก็จะได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้น และราคาก็คงจะมีมูลค่ามากกว่าราคาที่ท่านซื้อไว้ กำไรทั้งได้อยู่อาศัยและมูลค่าที่สูงขึ้น
3). ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะท่านที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไปควรจะตรวจทุกๆ ปี และท่านที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปควรจะตรวจปีละ 2 ครั้ง ทำให้เราทราบว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา ลักษณะการใช้ชีวิตเราเป็นการส่งเสริมหรือทำลายสุขภาพของเราเอง ต้นทุนของการป้องกันนั้นถูกกว่าค่ารักษาพยาบาลมาก ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนสูงมาก ดังนั้นการที่มีสุขภาพที่แข็งแรงทำให้ท่านประหยัดค่าใช้จ่ายด้านนี้ไปได้มาก ทำให้ท่านมีเงินเหลือที่จะไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนและเสริมความมั่นคงให้กับชีวิตของท่าน
ปีใหม่นี้ขออวยพรให้ท่านผู้อ่านครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรงและมีเงินใช้มากๆนะครับ