นักลงทุนระดับตำนานมีชีวิตของสายปัจจัยพื้นฐาน เน้นคุณค่า หรือ Value Investing คือ อาจารย์ปู่ "วอเรน บัฟเฟตต์" เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา ได้เคยกล่าวกฎทองการลงทุนไว้ 2 ข้อ...สุดคลาสสิก
กฎข้อ 1 ...อย่าขาดทุน
กฎข้อ 2 ...อย่าลืมกฎข้อที่ 1
ทำไมบัฟเฟตต์ถึงให้ความสำคัญกับเรื่องการหลีกเลี่ยงภาวะขาดทุนให้ได้ จนถึงกับตั้งเป็นกฎทองข้อแรก แทนที่จะตั้งกฎที่ให้ความสำคัญกับการเลือกหุ้นให้เทพ การมองเทรนด์ให้ขาด วัดมูลค่าให้เป๊ะ ดูจุดเข้าจุดออก หรือเทคนิคอะไรที่ดูซับซ้อนกว่าคำว่า "อย่าขาดทุน"
นี่แสดงให้เห็นว่า อาจารย์ปู่บัฟเฟตต์ เน้นการลงทุนที่ปลอดภัย เน้นว่าต้องรักษาเงินต้น มากกว่าเน้นทำกำไร ... ว่าต้องได้เท่านั้น ต้องได้เท่านี้ ภายในกี่ปี เป็นกี่เด้ง เพราะการทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอน ธุรกิจเป็นการดีลกับโอกาสและความเสี่ยงตลอดเวลา การลงทุนในหุ้นก็ต้องรับโอกาสและความเสี่ยงเหล่านั้นมาด้วย
ในโลกความเป็นจริง เหตุการณ์ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แผนธุรกิจอาจจะไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ ยอดขายอาจไม่เป็นไปตามที่วางเป้าเอาไว้ การลงทุนใหม่อาจจะไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มอย่างที่ฝ่ายบริหารตั้งใจไว้ กฏข้อบังคับหรือนโยบายที่ภาครัฐออกมา อาจเพิ่มต้นทุนหรือกระทบต่อรายได้ของกิจการที่เราถือหุ้นอยู่
ดังนั้นนักลงทุน ที่ต้องการหลีกเลี่ยงอาการ "ขาดทุน" จึงต้องประเมินสถานการณ์ว่า กรณีเลวร้ายที่สุด (worst case scenario) กิจการจะมีมูลค่าเหลือเท่าใด ราคาหุ้นจะตกลงมาเหลือเท่าไหร่ เงินลงทุนจะเสียหายเท่าไหร่ การมอง downside risk (ความเสี่ยงทางลง) จึงมีความสำคัญมาก
นี่คือที่มาของกลยุทธ์การลงทุนอย่างปลอดภัย โดยการตั้งค่า "ส่วนเผื่อความปลอดภัย" หรือ Margin of Safety (MOS) ในการลงทุนเอาไว้ทุกครั้งก่อนเข้าซื้อหุ้น เมื่อนักลงทุนประเมินมูลค่าหุ้นได้มูลค่ายุติธรรม(Fair Price) เสร็จแล้ว ต้องใส่ส่วนเผื่อความปลอดภัยเข้าไปด้วย เช่น ประเมินมูลค่าหุ้น A ได้มูลค่ายุติธรรมหุ้นละ 10 บาท ราคาที่เข้าโซนซื้อควรเป็นราคาที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย สมมติเราตั้ง MOS ไว้ 20% แปลว่า ราคาที่เข้าโซนซื้อหุ้น A คือตั้งแต่ 8 บาทลงมา
ตีความจากจุดนี้... MOS ของอาจารย์ปู่ บัฟเฟตต์นี่แหละครับ คือ สิ่งที่ช่วยให้กฎการลงทุนที่สำคัญที่สุดข้อ 1 ของเขา ซึ่งก็คือ "อย่าขาดทุน" เป็นจริงขึ้นมาได้ในทางปฏิบัติ
ทีนี้ ลองมองไปที่ตลาดหุ้นไทยช่วงหลายปีนี้ ที่ P/E ตลาดประมาณ 15-20 เท่า(ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยมี P/E 19 เท่า) ซึ่งแตกต่างจากสมัย 10 กว่าปีที่แล้ว ที่ P/E ต่ำกว่า 12 เท่า การจะซื้อหุ้นพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตสูง ที่ราคาถูกมากๆ จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก
แต่...ยังมีโอกาสครับ นั่นคือ คุณต้องรอซื้อหุ้นตอนวิกฤตให้ได้ เพราะในวิกฤต ราคาหุ้นดีหุ้นเลวจะปรับตัวลดลงในภาพรวมทั้งหมด ทำให้เราสามารถคัดหุ้นพื้นฐานดี(Good Stock) ได้ในราคายอดเยี่ยม(Good Price) ซึ่งการซื้อหุ้นในเวลาวิกฤตนี่แหละ ที่นักลงทุนจะได้ซื้อหุ้นที่ราคาค่อนข้างต่ำ เป็นราคาที่มี Margin of Safety (MOS) และโอกาสขาดทุนในระยะยาวแทบไม่มี
หัวใจของการลงทุน ที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า Margin of Safety หรือการลงทุนที่ต้องมี MOS นั้น คือ ความอดทน รู้จักรอคอยโอกาส ที่ต้องรอจนกระทั่งหุ้นชั้นดีที่เราอยากซื้อมานาน มีราคาที่เหมาะสม ยิ่งหากเป็นวิกฤตชั่วคราวที่มากระทบให้ราคาหุ้นลดลง และวิกฤตนั้นไม่ได้ลดทอนความสามารถในการดำเนินงานระยะยาวของกิจการ นั่นคือโอกาสทองของการลงทุน
นี่คงเป็นความพิเศษของ วอเรน บัฟเฟตต์ ที่เราเคยได้ยินข่าวว่า ช่วงก่อนปี 2000 นอกจากเขาจะไม่แตะหุ้นดอทคอมที่กำลังขึ้นร้อนแรงแพงระยับแล้ว เขายังแทบไม่ได้ซื้อหุ้นอะไรเลยเป็นเวลาหลายปี และเมื่อวิกฤตมาถึง ก็คือโอกาสทองในการลงทุนซื้อหุ้นดีเข้าพอร์ตอย่างเต็มที่
นั่นคือความอดทน รอคอยโอกาส นำไปสู่ความเหนือชั้นของนักลงทุนระดับตำนาน และยังเป็นกลยุทธ์การลงทุนอย่างปลอดภัย แบบมี MOS ที่นักลงทุนรายย่อย อย่างเราๆท่านๆ สามารถเดินตามรอยเซียนได้ ไม่ยากเลย