Starflex หุ้นน้องใหม่เข้าตลาดวันแรกก็เปิดต่ำจองเลย IPO 3.88 บาท ลงไป Low 3.50 บาท ก่อนที่จะค่อยๆ กระเตื้องขึ้นมา ต้องมาลุ้นกันครับว่าปิดวันจะเขียวได้มั้ย
บริษัทนี้เป็นโรงงานผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน เช่น ถุงใส่น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน ไอศกรีม วุ้นเส้น อาหารสัตว์ เป็นต้น เป็นการรับทำแบบ made to order ให้กับบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ๆ ของประเทศ
พอได้ยินคำว่า "พลาสติก" เราจะมึความคิดแว้บขึ้นมาว่า ไม่น่าจะดี พอไปดูตัวเลขจาก Euromonitor ก็พบว่าอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนมีจำนวน 20,215 ล้านชิ้น โตแค่ 2.3% หลักๆ โตในกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารมากกว่า
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าบอกว่า ตลาดบรรจุภัณฑ์พลาสติกมีผู้ประกอบการ 1,148 ราย ขนาดเล็ก 935 ราย ขนาดกลาง 130 ราย และขนาดใหญ่ 83 ราย โดย SFLEX อยู่ในกลุ่มรายใหญ่เป็นผู้เล่นอันดับ 7 ในตลาด มีส่วนแบ่งประมาณ 5% พูดง่ายๆ คือ ตลาดแข่งขันสูง บริษัทเลือกมาจับตลาดบน A, B+ เพื่อหลีกหนีการตัดราคา
84% ของลูกค้า คือ บริษัท 4 เจ้าหลัก ยูนิลีเวอร์ ไลอ้อน นีโอ และไอพี โดยมีรายนึงสัดส่วนถึง 30% สินค้าพวกถุงเติมอย่างซันไลต์ โอโม บรีส ไลปอนเอฟ เปา ไฟน์ไลน์ คือ ถุงที่ SFLEX ผลิตให้ทั้งหมด ในมุมนึงมองว่าดีที่มีรายใหญ่ แบรนด์ติดตลาด โวลุ่มเยอะ แต่ก็ขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจด้วย
มองอีกมุมคือ อำนาจต่อรองของบริษัทใหญ่ต่อ SFLEX จะมากตามไปด้วย และเรามักจะเห็นกันอยู่เสมอว่า บริษัทเหล่านี้มักจะเลือกลดความหนาและขนาดของบรรจุภัณฑ์ (แต่ขายราคาเดิม) เพื่อเป็นการควบคุมต้นทุนการผลิต
ในส่วนของ SFLEX เองนั้นใช้วัตถุดิบคือ พลาสติก ฟิล์ม ซึ่งอิงกับราคาน้ำมัน ถ้าน้ำมันลง ต้นทุนจะต่ำ ก็จะได้ประโยชน์ตรงจุดนี้ กับการที่มีประมาณ 20% นำเข้าวัตถุดิบก็จะได้ผลดีจากบาทแข็ง
===============
** ผลประกอบการของ SFLEX เป็นแบบนี้ **
ปี 2559 รายได้รวม 1,181 ล้านบาท กำไรสุทธิ 33 ล้านบาท
ปี 2560 รายได้รวม 1,353 ล้านบาท กำไรสุทธิ 146 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้รวม 1,374 ล้านบาท กำไรสุทธิ 136 ล้านบาท
9M61 รายได้รวม 1,044 ล้านบาท กำไรสุทธิ 117 ล้านบาท
9M62 รายได้รวม 943 ล้านบาท กำไรสุทธิ 46 ล้านบาท
รายได้ไม่ค่อยเพิ่ม ปีนี้ลดลงด้วยซ้ำ จากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ลดลงตามสภาพเศรษฐกิจ กำไรเห็นชัดว่าแนวโน้มไม่ดี โดยเฉพาะปีนี้ที่บริษัทบอกว่า มีสต็อควัตถุดิบราคาสูงเหลืออยู่ ลูกค้าเลือกใช้ฟิล์มบางลง และมีการเปิดโรงงานแห่งที่ 2 ยังผลิตไม่ได้สเกล ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น รวมไปถึงค่าที่ปรึกษา และค่าสำรองพนักงาน 400 วัน หลายสิ่งหลายอย่างทำให้บริษัทกำไรลดลง
=================
** เงิน IPO 408 ล้านบาท เอาไปทำอะไร **
- 140 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรใหม่แบบปิดผนึกขึ้นรูป เขาว่าเป็นรุ่นที่ทันสมัยมาก จะช่วยเพิ่มมาร์จิ้นได้
- 50 ล้านบาท สร้างคลังสินค้า จากเดิมที่เช่าอยู่ ก็คงช่วยลดค่าใช้จ่าย
- 95 ล้านบาท คืนเงินกู้ ก็จะช่วยลดภาระต้นทุนการเงิน
- ที่เหลือ 123 ล้านบาท เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ราคา IPO 3.88 บาท P/E 24.5 เท่า อาจจะเทียบไม่ได้ตรงๆ กับบริษัทพลาสติกรายอื่นในตลาด เพราะสินค้าคนละอย่างกัน แต่ถ้าลองดูเล่นๆ ก็จะเห็นว่า
THIP P/E 7 เท่า
MBAX P/E 13 เท่า
TPLAS P/E 10.7 เท่า
TPBI P/E หาค่าไม่ได้ เพราะขาดทุน
==============
ใครสนใจหุ้น IPO อยากให้พิจารณา 3 เรื่องควบคู่กันไป คือ
1. ภาพรวมอุตสาหกรรมที่อยู่โตมั้ย แล้วเราเก่งแค่ไหนในตลาด
2. บริษัทเรามีแต้มต่อแค่ไหน เป็นแบรนด์ดังหรือ OEM
3. ราคาหุ้นที่ขายถูกหรือแพง เทียบกับเพื่อน หรือเทียบกับอนาคตของตัวเอง
ถ้าเราตอบ 3 คำถามนี้ได้แบบชัดๆ เราก็พอจะเดาได้ว่า หุ้นน้องใหม่น่าจะเขียวหรือแดง