SHR หรือบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้น IPO อีกตัวของปีนี้ที่มาเทรดวันแรกก็ "โดน" ซะแล้ว โดนที่ว่านี้คือโดนถล่มขายอย่างหนักทำให้หุ้นมาเทรดกันแถวๆ 4 บาท จากที่ขาย IPO ที่ราคา 5.20 บาท ทุกวันนี้ยังไม่สามารถกลับขึ้นไปทำ New High ได้ ทุกวันนี้คงก็ยังถกเถียงกันว่าราคาหุ้นตรงนี้แพงไปไหม บางคนก็บอกว่าแพงถ้ามองจากค่า P/E แถมบริษัทขาดทุนอีกด้วยถ้ามองจากผลประกอบการล่าสุด บางคนก็ว่าถูก ราคาพาร์ 5 บาท ขาย 5.20 บาท ราคานี้เท่ากับที่บริษัทลงทุนไปเลยนะ
ก็ว่ากันไป ต่างคนต่างความคิด ...
หน้าที่ของนักลงทุน คือ ศึกษาแลจับตาดูกันต่อไป ... ฟัง Opp day ครั้งนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ และผู้บริหารจะเน้นขาย "สตอรี่" ในเรื่องของมัลดีฟท์ มากที่สุดเพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ ลงทุนสูง และผลตอบแทนก็สูงด้วยเช่นเดียวกัน จะลองรีวิวคร่าวๆ
SHR ทำธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทระดับหรู เน้นการพักผ่อน มีกลุ่มลูกค้าชัดเจน คือ เป็นครอบครัว เน้นการพักผ่อน คู่รักฮันนีมูนเนอร์ หรือกลุ่มวัยรุ่นที่อยากเปิดประสบการณ์ใหม่ แน่นอนว่าห้องพักราคาแพงครับ โดยปัจจุบันมีโรงแรมอยู่ในพอร์ตทั้งหมด 39 โรงแรม ใน 5 ประเทศ กระจายกันออกไป โดยมีสัดส่วนรายได้ ดังนี้
สัดส่วนรายได้แต่ละกลุ่มโรงแรมของ SHR
ที่มา : เอกสารนำเสนอบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนไตรมาสที่ 3/2562
- โรงแรมที่บริหารเอง มีสัดส่วน 29% ตรงนี้มีข้อดี คือ กำไรดี มาร์จิ้นดี
- จ้างบริหาร มีสัดส่วน 68% เป็นกลุ่มโรงแรม Outrigger อัตรากำไรน้อยกว่าแบบแรก แต่แน่นอนว่าเราจะได้ความเป็นแบรนด์อินเตอร์ ความมีมาตรฐาน และกลุ่มลูกค้าของเครือข่ายเขา
- แบบผสมผสาน มีสัดส่วน 3% บริหารเองแต่ยืมช่องทางการจำหน่ายของค่ายอื่น SAII Lagoon และ Hard Rock Maldieve
ถ้าให้แยกตามประเทศ จะมาจากประเทศไทยประมาณ 25% ที่เหลือเป็นสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ
สาเหตุที่บริษัทกระจายการลงทุนไปต่างประเทศนั้น เพราะต้องการลบความเป็นฤดูกาลของการท่องเที่ยวที่มีหน้า High และหน้า Low ที่ผ่านมาก็ทำได้ดีมาโดยตลอด ตรงนี้ก็น่าชื่นชมและถือเป็นจุดแข็งของบริษัทเหมือนกัน
อย่างที่บอกไป คือ มา Opp day ครั้งนี้ บริษัทมาขายความเป็นมัลดีฟท์เต็มที่ เพราะผู้บริหารชี้แจงว่าจะมาเป็นสัดส่วนรายได้หลัก และการท่องเที่ยวที่มัลดีฟท์ยังเติบโตได้อีกเยอะ โดยพยายามชูจุดเด่นของการท่องเที่ยวมัลดีฟท์ ว่า ...
1. สายการบิน Low Cost ที่บินตรง
2. การขยายสนามบินให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
3. จุดเด่นของโรงแรมที่อยู่ใกล้สนามบิน มากๆ ไม่จำเป็นต้องเดินทางข้ามเกาะ หรือเสียค่าใช้จ่ายไปกับการนั่งซีเพลน (เครื่องบินน้ำ)
ว่ากันว่าจะเป็นสัดส่วนรายได้สำคัญถึง 40% เลย ตรงนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไป ว่าจะทำได้จริงไหม ?
คนที่มาเที่ยวมัลดีฟท์ ส่วนใหญ่จะเป็นคนยุโรปประมาณ 50% และเอเชีย(จีน อินเดีย ศรีลังกา)ประมาณ 30%
ส่วนประเด็นสำคัญ คือ หลังจากขาย IPO แล้วเอาเงินไปทำอะไร และทำไมผลประกอบการล่าสุดออกมาขาดทุน ทางผู้บริหารเขาชี้แจงว่า ..
สาเหตุที่ขาดทุนนั้น งบ 9 เดือน ปีนี้ ขาดทุน 300 ล้านบาท เกิดจากรายจ่ายเกิดขึ้นครั้งเดียว คือ ค่าใช้จ่ายเปิดโรงแรมที่มัลดีฟท์ 2 แห่ง และอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 20 ล้านบาท ถ้าหัก 2 รายการนี้ออกไป จะทำให้ขาดทุนประมาณ 9 ล้านบาท แต่ผู้บริหารยังทิ้งท้ายว่าด้วยศักยภาพของสินทรัพย์ที่บริษัทมีอยู่สามารถทำกำไรให้บริษัทได้ และมั่นใจว่าปีหน้ากำไรแน่นอน ตรงนี้ก็ต้องดูต่อ แต่ถ้าไปค้นผลประกอบการตอนที่ยังอยู่ภายใต้ของ S อยู่นั้น ธุรกิจโรงแรมของเขาก็โดดเด่นและเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาโดยตลอด
ในเรื่อง IPO ที่ผ่านมาได้เงินไป 7.34 พันล้าน ขายนักลงทุนสถาบัน 60% รายย่อย 40% โดยมีสิงห์ เอสเตทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ชำระเงินกู้ธนาคาร 5.35 พันล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยจ่าย ลดเงินกู้ทำให้ D/E เหลือ 0.4 เท่า โครงสร้างเงินทุนแข็งแกร่งขึ้น กู้มาลงทุนสร้างการเติบโตได้มากขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1.5 เท่า ตอนนี้มองหาการลงทุนใหม่ๆ และตั้งเป้าไว้ว่าจะเพิ่มเป็น 80 โรงแรมในปี 2025 (ประมาณ 7-8 โรงแรมต่อปี)
ผลประกอบการที่ผ่านมาของ SHR
ที่มา : เอกสารนำเสนอบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนไตรมาสที่ 3/2562
== ทิ้งท้ายโครงการในอนาคต ==
- สร้างห้องประชุมแห่งใหม่ที่เอาท์ทริกเกอร์ภูเก็ต
- สร้างห้องพักแบบ Family เพิ่มอีก 24 ห้อง
- โครงการที่มัลดีฟท์อยู่ในระหว่างพัฒนาเกาะ 3 ร่วมมือกับกลุ่มเมียนม่าร์ EWD ถือหุ้นคนละ 50% เกาะ 3 เน้นระดับ High end
ก็มีเท่านี้สำหรับ SHR เอาจริงๆดูจากสินทรัพย์ และโครงสร้างผู้ถือหุ้นก็ต้องบอกว่า "แข็ง" อยู่เหมือนกัน เป้าหมายก็ดูชัดเจนดี ว่าจะทำอะไร น่าจะเป็นกลุ่มโรงแรมอีกตัวที่จะนำมาเทียบกับ CENTEL และ MINT แต่ไม่มีธุรกิจอาหารที่เป็นรายได้หลัก อาจจะดูคล้าย ERW มากกว่า
เรียกว่าดูน่าสนใจ แต่เข้ามาผิดเวลา ... ก็เท่านั้นเอง