หากเรามีโลกเสมือนอีกใบหนึ่งที่สามารถจำลองอะไรก็ได้เพื่อ “ทดลองก่อนลงมือทำจริง” คงจะดีไม่น้อย เพราะนอกจากจะช่วยลดโอกาสความผิดพลาดในการทำงานและการเข้าใจผิดแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนการผลิต การแก้ปัญหาอีกด้วย
จินตนาการดูง่ายๆ ว่า ถ้าหากแพทย์สามารถจำลองระบบของร่างกายคนไข้เพื่อดูอาการผิดปกติของโรคร้าย และสามารถทดลองรักษามันในรูปแบบต่างๆ ว่าวิธีไหนดีที่สุดก่อนที่จะลงมือรักษาจริง มันน่าจะเพิ่มโอกาสการช่วยชีวิตของคนไข้อย่างมาก
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้สามารถเริ่มทำได้ด้วยนวัตกรรมที่อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า digital twin หรือฝาแฝดดิจิทัล
ซึ่งจะประกอบไปด้วยส่วนที่เป็น physical หรือส่วนที่สามารถจับต้องได้ อย่างเช่นเครื่องจักรหรือร่างกายจริงๆ และส่วนที่เป็น digital ซึ่งเป็นการบูรณาการ emerging technologies หลายอย่าง ได้แก่ Big Data Analytic, IoT, Machine Learning, Cloud, 3D Modeling และ VR/MR เข้ามาไว้ด้วยกันเพื่อทำ virtual representation ของสิ่งต่าง ๆ เพื่อติดตามสถานะและคาดการณ์ประเมินสภาพของสิ่งนั้น
บทความนี้จะนำท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับนวัตกรรมฝาแฝดดิจิทัลที่จะมาเปลี่ยนโลกธุรกิจในหลายๆ อุตสาหกรรมในไม่ช้านี้
จุดเริ่มต้นของ Digital Twin
ต้นแบบของ digital twin ถูกนำมาทดลองใช้ครั้งแรกในช่วงปี 1970 โดย NASA จากเคสที่โด่งดังอย่างยาน Apollo 13 ที่ถังออกซิเจนได้ระเบิดระหว่างภารกิจ ทว่าโชคยังดีที่ทุกสถานการณ์เกี่ยวกับยานลำนี้ได้ถูกจำลองไว้แล้วก่อนออกเดินทาง ทำให้เหล่าวิศวกรภาคพื้นสามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้แม้ว่าจะอยู่ห่างกว่า 200,000 ไมล์ห่างออกไป
แน่นอนว่าหลังจากที่เทคโนโลยีสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น digital twin ก็ได้ถูกนำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ มากขึ้น ทั้งในด้านการซ่อมบำรุง ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการวางแผนระบบการผลิต ซึ่งบทบาทของ digital twin ก็ได้เริ่มเข้ามามีความสำคัญมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา Gartner ได้คาดการณ์ไว้ว่าการใช้งานเทคโนโลยีนี้จะเพิ่มขึ้นกว่าถึง 3 เท่าภายในปี 2022
ก่อนหน้าที่จะมาเป็น digital twin ในยุคแรก สิ่งของกายภาพ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องจักร ยังไม่ได้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ ทำให้มีเฉพาะฃส่วนที่เป็น physical เท่านั้น ส่งผลให้การตรวจสอบและการจัดเก็บข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์ ต่อยอดและพัฒนาเป็นไปได้ยากและใช้เวลามาก
ในยุดถัดมาจึงได้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อช่วยในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล แต่ยังไม่ได้มีการเชื่อมต่อทั้งสองระบบเข้าหากัน แปลว่ายังต้องอาศัยมนุษย์เป็นหลักในการป้อนข้อมูลเข้าไปเพื่อใช้ในการวิเคราะห์
แต่เมื่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของเซ็นเซอร์ที่มาพร้อมกระแส IoT จึงทำให้การตรวจสอบและติดตามสถานะ และการเก็บข้อมูลของเครื่องจักรเป็นไปได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น และเมื่อนำเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งไว้มาผนวกเข้ากับเทคโนโลยีอื่นๆ อย่าง big data จึงทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ มาไว้เป็นหนึ่งเดียวแล้วจำลองฝาแฝดของสิ่งของนั้นๆ ออกมาได้เป็น digital twin ที่สมบูรณ์ในที่สุด
Use-case 1: ฝาแฝดดิจิทัลในอุตสาหกรรม Healthcare
หนึ่งใน use case ที่น่าสนใจของ digital twin ที่จะมายกระดับวงการแพทย์และเพื่อเพิ่มโอกาสในการช่วยชีวิตคนคือ การใช้ digital twin ในการจำลอง genomic makeup physiological characteristics และ lifestyle ของคน เพื่อที่จะทดลองวัดผลวิธีรักษาโรคต่างๆ เพื่อหาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ยกตัวอย่างบริษัท Dassault ผู้พัฒนา Living heart หรือแบบจำลองหัวใจของคนซึ่งรวบรวมข้อมูลทั้งภาพสองมิติของหัวใจ ลักษณะการเต้นของหัวใจ รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ เพื่อที่จะเอามาสร้างหัวใจจำลองของคนนั้นๆ สำหรับการเตรียมการวางแผนการรักษา และตรวจดูปัจจัยเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ นอกจากนี้
อีกหนึ่งบริษัทอย่าง Sim&Cure start-up ก็ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ลักษณะเดียวกันเพื่อจำลองโครงสร้างของสมองคนในการพัฒนาวิธีการรักษาโรคหลอดเลือดในสมองโป่งพอง วิธีนี้ช่วยลดอัตราความผิดพลาดของการรักษาลงได้กว่า 3-4 เปอร์เซ็นต์และได้ช่วยชีวิตคนแล้วกว่า 1,500 รายใน 25 ประเทศ
Use-case 2: ฝาแฝดดิจิทัลใน show-biz
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า digital twin ก็สามารถเป็นพิธีกรได้
ล่าสุดในงาน CCTV Spring Festival Gala 2019 ได้มีการเปิดตัวพิธีกรดิจิทัล 4 คนที่จำลองทุกอย่างจากพิธีกรที่เป็นคนจริงๆ โดยพิธีกรดิจิทัลเหล่านี้สามารถโต้ตอบกับแฟนๆ ได้ไม่ต่างจากตัวจริง ทั้งการทำหน้าทำตาไปจนถึงความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เนื่องจากถูกบรรจุข้อมูลของต้นแบบผนวกกับเทคโนโลยีอย่าง machine learning, computer vision, natural language processing และ speech synthesis ไว้หมดแล้ว ทั้งนี้ ObEN ผู้พัฒนาหวังว่านวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยให้เหล่าศิลปิน ดาราสามารถใกล้ชิดกับแฟนคลับได้มากขึ้น รวมถึงเปิดช่องทางใหม่ ๆ ให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ให้เข้าถึงผู้ชมใหม่ได้ง่ายยิ่งขึ้น
Use-case 3: ฝาแฝดดิจิทัลใน smart city
ทุกคนคงรู้จักสิงคโปร์ในนามผู้นำด้าน smart city ของโลก แต่ล่าสุด ในปี 2018 Dassault บริษัทเดียวกันกับที่พัฒนา Living Heart ได้ทำการจำลอง digital twin ของสิงคโปร์ไว้ทั้งเกาะไว้ใน Virtual Singapore ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากหน่วยงานของสิงคโปร์เป็นอย่างดี โดยหวังว่านวัตกรรมนี้จะเข้ามามีบทบาทอย่างมาในการยกระดับ smart city ให้ smart ยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น การทำ simulation สำหรับปรับปรุงการสัญจรของพื้นที่ต่างๆ สามารถทำได้โดยไม่ต้องเข้าไปสำรวจสถานที่จริงเลย เนื่องจาก digital twin ได้รวบรวมข้อมูลทั้งข้อมูล GIS ทั่วไปอย่างแผนที่ ข้อมูลที่ดิน ไปจนถึงข้อมูล dynamic อย่าง สภาพอากาศ สภาพจราจร จำนวน footfall ไว้หมดแล้ว ซึ่งเมื่อผนวกกับเครื่องมือ analytics แล้วก็สามารถออกแบบวางแผนได้ว่าการวางผังเมือง หรือการปรับนโยบายแบบไหนจะมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด
อ้างอิง:
https://www.seebo.com/digital-twin-technology/
https://venturebeat.com/2019/01/29/obens-creates-ai-hosts-for-chinas-network-spring-festival-gala/
https://govinsider.asia/digital-gov/meet-virtual-singapore-citys-3d-digital-twin/