1. LTF ลดหย่อนภาษีได้ปี 62 ปีสุดท้าย
2. สำหรับปี 63 เป็นต้นไป LTF ร่างใหม่ จะชื่อ กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund : SSF) (กองทุน SSF)
3. กอง SSF จะลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท อันนี้จะไม่เหมือนข่าวลือที่เคยแพลมออกมาก่อนว่าจะต้องลงทุนใน "หุ้นยั่งยืน" หรือ "กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน Infrastructure fund" แต่อย่างใด
4.เปรียบเทียบ
------------
เทียบ 1: อายุการถือ
-------------
-> LTF ลงทุน ต้องถือไว้ 7 ปี
-> SSF ลงทุน ต้องถือไว้ 10 ปี
------------
เทียบ 2: สิทธิการซื้อ
-------------
-> LTF 15% ของรายได้
-> SSF 30% ของรายได้
------------
เทียบ 3 : เพดานการซื้อ
-------------
-> LTF ซื้อ สูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาท
-> SSF ซื้อ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท
และเมื่อนำไปคำนวณรวมกับ RMF PVD กบขและประกันชีวิตแบบบำนาญต้องไม่เกิน 500,000 บาท
จัดตั้ง SSF ที่มาแทน LTF และปรับเกณฑ์ RMF ให้เป็นรูปแบบใหม่
ที่มาภาพ : www.thairath.co.th
ด้วยข้อมูลเท่านี้
+++++คนที่ได้ประโยชน์+++++
คือคนที่รายได้อยู่บนฐานภาษียังไม่สูงมาก
เพราะคุณซื้อ SSF และ RMF ได้เพิ่มขึ้น โดยได้สิทธิพิเศษทางภาษีด้วย ideal คือออมแบบที่สุดของแจ้ ทั้งสองกองเต็มสิทธิ +PVD อีกส่วน ได้ 60% ของรายได้ (รวมกันต้องไม่เกิน 5แสน) คือรายได้ตั้งแต่ 8.3 แสนต่อปี ลงมา
-----คนเสียประโยชน์-----
คือคนที่รายได้สูง เช่น เกิน 3.3 ล้านบาทต่อปี ที่เดิม สามารถซื้อ LTF หักภาษีได้เต็มๆ 500,000 บาท แถมซื้อ RMF หักภาษีได้อีก 500,000 บาท (สมมติไม่มี provident fund , กบข. , ประกันบำนาญ) ... ปีหน้าเขาซื้อ RMF ได้อย่างเดียว 500,000 หรือ ซื้อ SSF +RMF =500,000 บาท
เงินลดหย่อนหายไปมากมาย
คนที่รายได้สูงกว่า 3.3 ล้านบาทต่อปี จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และต้องหาทางลงทุนอื่นๆเสริมแทนเอาเอง เพื่อวางแผนเกษียณเอง โดยไม่มี tax incentives แบบที่ LTF เคยให้
คหสต.
อยากให้รัฐบาลแยกวงเงินลดหย่อน SSF และ RMF ออกจากกันครับ ไม่ควรไปนับวงเงินรวมกับ RMF เลย
ตอนนี้คงทำไรไม่ได้ ก็คงจะต้องเสียภาษีเพิ่ม และหาการลงทุนที่วางแล้วลืม แบบ LTF มาสร้างวินัยออมเอาเอง
แข็งแรง อาจไม่รอด
ฉลาด อาจไม่รอด
หล่อเหลา อาจไม่รอด
-------------------
ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2601104936648265&id=422259541199493