เมื่อปีที่แล้ว จำได้ว่าได้เคยเขียนเรื่องการแย่งชิงการขึ้นเป็นบริษัทที่มูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก โดย APPLE นับว่าเป็นบริษัทแรกที่มี Market Cap ผ่านระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ ตามมาด้วย AMAZON
แต่หลังจากนั้น APPLE ก็เพลี่ยงพล้ำ หลังบริษัทเริ่มส่งสัญญาณแปลกโดยจะไม่แสดงจำนวน iPhone ที่ขายได้ โดยอ้างว่าบริษัทมีรายได้จากสินค้าและบริการอื่นเพิ่มมากขึ้น ไม่อยากให้คนให้ความสำคัญกับจำนวนเครื่อง iPhone ที่ขายเพียงอย่างเดียว
ตามด้วยข่าวคำสั่งลดการผลิตชิ้นส่วนจาก supplier ให้กับตระกูล iPhone X
แน่นอนว่า ราคา iPhone ที่แพงขึ้นมาก ทำให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า จน market share ของ APPLE เริ่มน้อยลง แต่รายได้และกำไรยังคงโตได้ เพราะราคาขายปรับขึ้นมากกว่าต้นทุน นอกจากนั้นรายได้จากบริการต่างๆที่ต้องจ่ายเป็นรายเดือนมีการเติบโตที่สูงขึ้น
กระนั้นก็เถอะ ราคาหุ้นของ APPLE กลับร่วงลงไม่เป็นท่า จนลงไปเหลือแค่ราว 160 ดอลลาร์ ท่ามกลางกระแสวิจารณ์ว่า iPhone น่าจะกำลังได้รับความนิยมลดน้อยลง
ผสานกับข่าวการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าระหว่าง จีน - สหรัฐ ก็เป็นส่วนกดดันราคาหุ้น APPLE ด้วย เพราะว่าผู้ผลิตชิ้นส่วน iPhone ส่วนใหญ่อยู่ในจีน และยอดขายในจีนก็คิดเป็นสัดส่วนที่มากด้วย
หลายคน รวมถึงตัวผมเอง ก็ยังปรามาส APPLE ว่า น่าจะผ่านจุดสูงสุดของวงจรธุรกิจไปแล้วหรือไม่ และหากสถานการณ์เป็นเช่นนั้นต่อไป APPLE อาจกำลังเดินตามรอยของ Nokia
เหตุผลหลักที่ทำให้คนมองเช่นนั้น เป็นเพราะราคาของ iPhone ซึ่งเป็นตัวสร้างรายได้กว่า 50% ให้กับ APPLE นั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ และ "ไม่เชื่อว่า APPLE จะยอมลดราคา iPhone ลง"
อย่างไรก็ตาม นับจากต้นปีเป็นต้นมา ราคาหุ้น APPLE ค่อยๆไต่ระดับกลับมาเรื่อยๆ จนผ่านระดับ 200 ดอลลาร์ และใกล้แตะระดับ 250 ดอลลาร์ในขณะนี้ และก็ขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่ในโลก (ราว 1.11 ล้านล้านดอลลาร์)
จุดพลิกผันของสถานการณ์ทั้งหมดมาจาก การเปิดตัวของ iPhone 11 ซึ่งเป็นรุ่นสเปกต่ำสุดของซีรี่ส์นี้ สามารถทำยอดขายได้เกิดคาดอย่างมาก
นักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่ามาจาก 2 สาเหตุคือ 1. สเปคของรุ่นนี้แม้จะเป็นตัวต่ำสุด ก็ยังมีการอัพเกรดจากรุ่นก่อนๆอย่างชัดเจน ทำให้เกิดการ "เปลี่ยนเครื่อง" และ 2. ราคาเริ่มต้นของซีรี่ส์นี้ ถูกลงกว่าซีรี่ส์ที่ผ่านมา ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่า APPLE จะยอมทำ
การตอบรับที่ดีมากของ iPhone 11 มาพร้อมกันกับยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นในสินค้าอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่ม wearable (Apple Watch) เสริมให้ราคาหุ้นพุ่งทะยาน และนักวิเคราะห์ล้วนต้องกลับมาเชียร์หุ้น APPLE อีกครั้ง
APPLE มีกำหนดรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ของบริษัท (ไม่ผิดนะครับ ไตรมาส 4) หลังตลาดหุ้นนิวยอร์คปิดในคืนนี้ หากผลประกอบการออกมาแข็งแกร่งอย่างที่คาด ก็จะเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของการปรับขึ้นของราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา
คู่แข่งที่กำลังไล่บี้แย่งชิงตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกตามหลังมาติดๆครั้งนี้ ไม่ใช่ AMAZON แต่เป็น MICROSOFT
พัฒนาการของ MICROSOFT ก้าวกระโดดมาก โดยเฉพาะการเปิด Surface ที่เป็น tablet จอพับในปีหน้า และล่าสุดก็เพิ่งคว้างานวางระบบ cloud computing ของเพนตากอน ซึ่งมีมูลค่าถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์
เฉพาะโครงการนี้โครงการเดียว ทำให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มมูลค่าหุ้น Mircrosoft ทันทีอีก 10 เหรียญ
นับว่าหลังจาก Microsoft เหมือนกำลังจะเสื่อมลงจากคุณภาพของระบบปฏิบัติการ Windows ที่หลายคนบ่นถึงความไม่สมบูรณ์ รวมถึงการต้องยอมยกธงขาวในตลาด Smartphone เนื่องจากเข้าตลาดมาช้าเกินไป ทำให้ยากที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งจากผู้เล่นหลักที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS และ Android
และที่สำคัญก็คือ ecosystem ที่จำกัดจำเขี่ยมาก ผู้ใช้น้อยทำให้ App ดังๆไม่ทำมาลงในมือถือของตน หรือถ้าทำก็มีฟังก์ชั่นไม่สมบูรณ์เหมือนที่ลงในคู่แข่ง
พอแอพน้อย คนก็ไม่เปลี่ยนมาใช้ เหมือนปัญหาไก่กับไข่ ว่าอะไรเกิดก่อนกัน
ทำให้ Windows Phone ต้องดับอนาถไปในที่สุด นับว่าเป็นดีลสุดอัปยศก็ว่าได้ เพราะเหมือนไปซื้อชื่อ Nokia ให้มาตายไปพร้อมๆกันด้วย (ซื้อส่วนงานมือถือของ Nokia มาปั้นเป็น LUMIA)
แต่ใครจะคิด จากที่ราคาหุ้นผ่านระดับ 30 ดอลลาร์เมื่อช่วงกลางปี 2013 ผ่านมา 6 ปีเศษ ราคาหุ้น MICROSOFT ปรับขึ้นมาเกือบ 5 เท่าตัว มาอยู่ที่ 143 เหรียญในวันนี้ และมี Market Cap 1.10 ล้านล้านดอลลาร์ บี้ APPLE มาติดๆ
นี่เป็นเรื่องราวของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่แม้จะเพลี่ยงพล้ำ แต่ก็มีการปรับตัว แก้ไขจุดบกพร่อง และกลับมาผงาดได้อีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่า บางครั้งก็ต้องใช้เวลา
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกจะตกเป็นของ Saudi Aramco ผู้ครอบครองธุรกิจน้ำมันทั้งหมดของซาอุทันที หลังจากที่มีการทำ IPO เข้าตลาด และดีลนี้จะเป็นดีล IPO ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุนโลกเลยทีเดียว