ช่วงปลายปี ผมมักจะได้คำถามหลังไมค์ ถามว่า
ตัวผมเองซื้อประกันชีวิตไหม ? และ
เราควรซื้อ "ประกันชีวิต" ไหม ?
-----------------------------------------------
.
ตอบ... ผมเองซื้อประกันชีวิตครับ
ถามว่าทำไมถึงซื้อ... เหตุผลหลักของผม มี 3 ข้อ
.
.
หนึ่ง..ชีวิตนั้น ไม่แน่นอน
เมื่อ 23 ปีที่แล้วผมทำงานต่างจังหวัดเป็นวิศวกรเดินสายโทรศัพท์ตามถนน เพื่อนวิศวกรร่วมรุ่นเดียวกัน กว่าสามร้อยคน ต้องขับรถกระบะไปในถนนที่ไม่คุ้นเคยทั่วประเทศ
ด้วยอายุที่ยังน้อย ทำแบบนี้ทุกวันเป็นเวลาแรมเดือนแรมปี ก็เริ่มมีเพื่อนร่วมรุ่นที่ประสบอุบัติเหตุคนแล้วคนเล่า บ้างก็หนัก บ้างก็เบา รับทราบข่าวจากหนังสือเวียนที่เพื่อนๆร่วมรุ่นแจ้งข่าวกันมา
ประมาณเดือนกันยายนปี 2539 ชื่อผมก็ได้ปรากฏในหนังสือเวียน เหตุเกิดที่ถนนมาลัยแมน หน้าวัดวังตะกู จังหวัดนครปฐม นั่งรถรุ่นพี่ไปกู้สายเคเบิ้ลขาด ชนกับหกล้อที่เลี้ยวตัดหน้ากระทันหัน โชคดีที่ 4 ชีวิตไม่มีใครเป็นอะไรมาก เจ็บเพียงระดับช้ำใน และมีแผลเลือดสดที่ไหล่ และสะโพกจากการกระชากรุนแรงของเข็มขัดนิรภัย นับว่าโชคดีมากๆ
กลับมากรุงเทพฯ ผมคิดว่าพ่อแม่ส่งเรียนเลี้ยงดูมา 22 ปี ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา นี่ยังไม่ได้ทดแทนอะไรท่านบ้างเลย
ประกันชีวิต ตอบโจทย์นี้
.
.
สอง...ผมมีความรู้สึกดี ที่ประกันชีวิต ให้ผมเขียนชื่อผู้รับผลประโยชน์ไว้เลย กรณีเกิดเหตุเภทภัย
ซึ่งย่อมต้องเป็น "ชื่อคนที่ผมรัก"
ตอนทำงานใหม่ๆ ผมมีกรมธรรม์ที่เขียนให้ "แม่และน้องสาว"
ส่วนกรมธรรม์ที่ทำหลังแต่งงาน เขียนให้ "ภรรยาและลูกสาว"
เวลาส่งเงินรายปี ไม่มีความรู้สึกว่ามันเป็นภาระ เหมือนเป็นหลักประกันมากกว่า
ประกันชีวิตเป็นการโอนย้ายความเสี่ยง ให้บ.ประกันช่วยดูแล เกิดอะไรขึ้น ได้เงินก้อนแก่คนที่เรารัก
ไม่เกิดอะไร ก็ดีไป เราก็ใช้ลดหย่อนภาษีไปแล้วรอรับเงินตอนสูงวัย
.
.
สาม..อยากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้เต็มที่
หลักคิดนั้นเรียบง่าย คือ อะไรที่รัฐอนุญาตให้ลดหย่อนภาษีได้ มักจะมีประโยชน์ต่อตัวเรา ผู้อื่น และประเทศชาติ
ไม่ว่าจะเป็น การซื้อประกันชีวิต, ลงทุน LTF/RMF, ลงทุนใน Provident Fund, บริจาคสาธารณกุศล, คชจ.ท่องเที่ยว ฯลฯ
ในเมื่อ ประกันชีวิตให้ลดหย่อน ก็เลยซื้อ และซื้อเพิ่ม ผมมองเป็นการออมแบบนึง
.
.
สำหรับกรณีท่านอื่นๆ ผมไม่กล้าไปตัดสิน ว่าประกันชีวิตควรซื้อหรือไม่
เพราะบางท่านฐานภาษีไม่สูง ประเด็นเรื่องการลดหย่อนหายไป ก็อาจจะไม่มีแรงจูงใจซื้อ
หรืออาจจะมองว่าการออมก็ไม่คุ้ม เพราะฉันเป็นคนเก็บเงินอยู่ และลงทุนเองได้ อันนี้เป็นเหตุผลของแต่ละท่านเลย
แต่! เหตุผลเรื่อง "การทำหลักประกันเพื่อคนที่เรารัก"...ยังคงอยู่ และผมเชื่อว่า เราทุกคน ล้วนมีคนที่เรารัก
.
.
คหสต. ถ้ารายได้ของท่าน อยู่ในระดับ "จำเป็นอย่างยิ่งยวด" เพื่อใช้ดูแลครอบครัว คนที่ท่านรัก ... มันจะ "หายไปหรือหยุดไปไม่ได้"
ในกรณีนี้การถ่ายโอนความเสี่ยง ไปสู่บริษัทประกันชีวิต ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
และผมคิดว่า การออมในหลายๆรูปแบบ พร้อมป้องกันความเสี่ยงด้วย
ระยะยาวจะให้ผลดีเสมอ