Warren Buffett กล่าวไว้ว่า “ในโลกของธุรกิจ กระจกมองหลังชัดกว่ากระจกหน้ารถเสมอ”
พี่โจ ลูกอีสาน บอกว่า “การลงทุนเหมือนการขับรถ ให้มองกระจกหน้า 80-90% คือการดูอนาคต แต่แน่นอนว่าต้องดูกระจกหลังด้วย”
ดร.นิเวศน์ เองก็เคยพูดไว้ว่า เราต้อง “มองไปข้างหน้า” มิฉะนั้นรถจะชนท้ายคันอื่นหรือตกถนน การคาดการณ์อนาคตจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่โอกาสที่จะคาดการณ์ถูกต้องกับผิดนั้นก็เป็นได้บ่อยพอ ๆ กัน
คำถามคือ เราควรมองกระจกบานไหนดีกันแน่ ?
ผมคิดว่า เราควรมองกระจกทุกบาน ทำให้เหมือนเวลาขับรถ แต่เราต้องเข้าใจว่าบานไหนควรมองเมื่อไหร่ มีประโยชน์อย่างไร และมองนานแค่ไหนถึงจะดี
กระจกมองหลัง เอาไว้มองอดีต มองสถานที่ที่ขับผ่านมา มองคู่แข่ง หรือลูกค้าที่ประสบพบเจอ มองผลงานในอดีตว่าบริษัททำอะไรดี ตรงไหนแย่ เพื่อให้เราได้เห็นภาพข้อมูลที่เกิดขึ้น แต่แน่นอนว่า เราจะมองแช่แบบนั้นตลอดไม่ได้ เพราะจะทำให้เราไม่มองทาง หรือไม่เห็นรถที่สวนมา ซึ่งอาจเป็นลูกค้าที่รอเราอยู่ หรือคู่แข่งที่กำลังมา ก็ทำให้เกิดการชนกันขึ้นมาได้
กระจกมองหน้า คือ การมองไปยังอนาคต เป็นกระจกบานใหญ่ที่ทำให้เราเห็นทางข้างหน้าแบบกว้าง ๆ แต่มันก็มีข้อจำกัดคือ อาจจะมองได้ไม่ไกลนัก หรืออาจจะเห็นเป็นภูเขาเป็นท้องฟ้าอยู่ไกล ๆ ดูสวยดี แต่ไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจน เปรียบเหมือนการที่เราคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัท เราพอรู้ตำแหน่งที่ตั้งว่าเป็นอย่างไร งบจะออกมาแนวโน้มดีแค่ไหน กลยุทธ์ของบริษัทชัดเจนหรือไม่ ซึ่งเราอาจจะเห็นไม่ชัดนัก แต่อย่างน้อยเราต้องมองให้ออกว่าเราขับรถไปให้ถูกทิศ และไม่หลงทาง
กระจกมองข้าง เอาไว้ดูรถคันข้าง ๆ หรือมอเตอร์ไซค์ เพื่อที่ว่าเวลาเราเลี้ยวซ้ายขวา หรือเปลี่ยนเลนจะได้ไม่เฉี่ยวชน ก็เหมือนกับการที่เราดูคู่แข่ง ปัจจัยแวดล้อม ความเสี่ยงไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่ คือดูให้ครอบคลุมรอบด้านก่อนที่จะลงทุนกับบริษัทไหน
กล้องในรถ หรือเซ็นเซอร์รอบคัน ถ้ามีก็จะดี เพราะบางทีเป็นมุมอับเรามองไม่เห็น เราก็จะเห็นทั่วรถและมีเสียงเตือนก่อนจะชน ก็คือ การที่เรารู้ว่าบริษัทที่เราสนใจมีจุดตายอยู่ที่ตรงไหน เราก็ควรมองเพื่อไม่ให้พลาดท่าเสียที
ทำประกันภัย เพราะเราไม่รู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ บางครั้งเราประมาทขับรถชนคนอื่น บางครั้งเราโชคร้ายถูกชน การทำประกันในการลงทุนก็คือ การที่เราประเมินราคาหุ้นแล้วซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสม ราคาที่มีแต้มต่อ หรือถ้าได้ซื้อตอนลดราคายิ่งดีเข้าไปใหญ่
ตรวจเช็คสภาพรถให้ดีอยู่เสมอ เพราะขับไปนาน ๆ รถย่อมเสื่อมสภาพ มีของเสียหายต้องซ่อมแซม การลงทุนก็เช่นกัน เราต้องคอยหมั่นตรวจสอบงบบริษัทอยู่เสมอ ไปใช้บริการ ไป Company Visit เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าดี พร้อมใช้งาน ลูกค้าแน่นตลอดเวลา
สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่ต้องฝากเตือนไว้คือ “อย่าขับรถหลงทางจนน้ำมันหมดถัง” เหมือนกับลงทุนผิดบริษัท ลงทุนในบริษัทที่ไม่ดีไม่เติบโต จนขาดทุนหมดตัว ไม่มีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่ ต้องระวังไว้ให้ดี ถ้ารู้ตัวแล้วรีบกลับรถเดินหน้าให้ถูกทิศ หรือถ้าไม่แน่ใจจอดรถข้างทาง เปิด google map ดูก่อนก็ยังได้ครับ