#แนวคิดด้านการลงทุน

จิตใจที่เข้มแข็ง คือสกิลการลงทุนสำคัญ

โดย อธิป กีรติพิชญ์
เผยแพร่:
142 views

    ตั้งแต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นไปแตะ 1740 จุด ในเดือนกรกฎาคม 2562 หลังจากนั้น ตลาดหุ้นไทยก็ไปไม่เป็นอีกเลย แรงขายในหุ้นตัวใหญ่มีมาเรื่อยๆ นักลงทุนต่างชาติออกของไปเรื่อยๆ กระทั่งดัชนี SET ปริ่มๆน้ำอยู่ที่ 1600 จุดในช่วงเดือนพฤศจิกายน วิธีการลงทุนที่ไม่ได้ผลเลยในปีนี้ คือการหลับตาหว่านซื้อมั่วๆแล้วปล่อยให้หุ้นราคาขึ้นไปเอง สิ่งนี้ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปกับหุ้นส่วนใหญ่ในปี 2562

 

    นอกจากนี้ แม้แต่หุ้นชื่อชั้นดี ที่เป็นตัวดันดัชนีตลาดหุ้นไทย ราคาก็ผันผวนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหุ้นที่เป็น Global Play ผูกพันกับเศรษฐกิจโลก เช่น หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC, IRPC, IVL) และ หุ้นกลุ่มอิเลคทรอนิคส์ หรือแม้แต่หุ้นที่เคยเป็นดาวเด่นดันเศรษฐกิจไทยอย่างกลุ่มท่องเที่ยว ปีนี้ราคาหุ้นก็ปรับตัวลงมามาก ซ้ำร้ายหุ้นที่ผูกกับเศรษฐกิจในประเทศอย่างกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ก็ลงมาแบบดูไม่จืด

 

    สิ่งเหล่านี้ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ๆที่เข้าตลาดมาเมื่อปีที่แล้วซึ่งตลาดก็ -10.8% ไปแล้ว มาในปีนี้ก็ยังลงทุนยากอีก ทำให้ถอดใจกันไปเยอะ บ้างก็กลัวว่าหุ้นไทยลงทุนไม่ได้แล้ว บ้างก็กลัวว่า “หมดยุคทอง” การลงทุนในตลาดหุ้นไทยกันเลยทีเดียว 

 

    ผมคิดว่า คำว่า “หมดยุคทอง” ไม่ได้หมายความว่า ตลาดหุ้นไทย ไม่น่าสนใจหรือไม่น่าลงทุน แต่อย่างใด แต่มันอาจหมายถึง ยุคที่ตลาดหุ้นไทย จะอุดมไปด้วยหุ้นที่ “ทั้งพื้นฐานดี ทั้งราคาถูก” P/E ระดับ 7-8 เท่าเต็มตลาดไปหมด แบบ 10 กว่าปีก่อน ... มันไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

    อย่าลืมว่า 20 ปีก่อน ประเทศไทยเพิ่งผ่านวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 มาไม่นาน การลงทุนในหุ้นถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงมหาศาล เพราะคนยังมีภาพจำอันโหดร้ายที่หุ้นกิจการเจ๊ง ราคาลงเหลือ “ศูนย์บาท” ในสมัยวิกฤต หุ้นอนาคตดี กำไรเติบโต กลับเทรดที่ค่า P/E ที่ต่ำ เกิดภาวะหุ้นราคาถูกเรื้อรัง นั่นมันสมัยก่อน

    ซึ่งผิดจากสมัยนี้ ที่คนเริ่มลืมภาพวิกฤตต้มยำกุ้งกันแล้ว เคยเห็นความมหัศจรรย์ของราคาหุ้นที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจึงกลายเป็นทางเลือกในการสะสมความมั่งคั่งของคนยุคนี้กันมากขึ้น ราคาหุ้นชื่อชั้นดีในตลาด จึงยากจะมีราคาถูก ตลาดหุ้นไทยมีทั้งนักลงทุนสถาบันที่เข้มแข็ง และนักลงทุนรายย่อยกระเป๋าหนัก คอยเก็บหุ้นพื้นฐานดีไว้ในพอร์ทแบบไม่ปล่อยออกอยู่พอสมควร

    ดังนั้น การจะหาหุ้นดี ที่ราคาถูกมากๆ เข้าซื้อแล้วถือยาวไป โดยหวังกำไร 10 เด้ง 100 เด้ง ง่ายๆ...คงจะยากขึ้น ความคาดหวังผลตอบแทนระดับ 20% ไปทุกปี ก็อาจจะเป็นความคาดหวังที่สูงเกินไป

    ระดับผลตอบแทนที่เป็นไปได้ ระดับ 7-10% ต่อปีน่าจะยังคาดหวังได้อยู่ และการลงทุนให้หุ้น ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับการฝากแบงค์ และดีกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ

ซึ่งในระหว่างทางการถือหุ้น แน่นอนว่าคนยุคนี้ จะต้องเจอกับความผันผวนที่สุดโต่งกว่าคนยุคก่อนแน่นอน เพราะนโยบายการเงินสมัยนี้ ไม่เหมือนสมัยก่อน นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบหนักๆ นโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรี และความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ต่างส่งผลกระทบให้ตลาดหุ้นผันผวนทั้งสิ้น

 

    นักลงทุน จึงต้องมี จิตใจที่เข้มแข็ง ทนทานต่อความผันผวน และแรงกดดัน ให้ได้ ... ต้องอยู่เฉยๆให้เป็นในบางช่วงเวลา และต้องมีความหาญกล้าที่จะเติมเงินลงในพอร์ทหุ้น ในช่วงที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงในระยะยาวเพราะในโลกความเป็นจริง การมีความรู้ ทักษะในการลงทุน อาจจะไม่พอในการคงอยู่ในตลาด … "จิตใจที่เข้มแข็ง ทนทานต่อแรงกดดัน" ก็จัดเป็น Skill ขั้นสูง ที่นักลงทุนควรต้องมีติดตัว อย่าลืมว่าหนทางขรุขระ เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางลงทุน ที่ทุกคนต้องผ่าน

 

    ผมคิดว่า ในยามที่ความมั่นใจในตลาดหุ้นยังไม่กลับมาเต็มที่ เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับนักลงทุนวีไอ ที่มีทั้งทักษะ ความรู้ และจิตใจที่เข้มแข็ง เพราะเป็นช่วงที่เราสามารถเลือกทยอยลงทุน ในกลุ่มหุ้นที่เราต้องการ ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าได้ง่ายขึ้น  อย่าลืมว่า “ตลาดหุ้นอันตราย เมื่อทุกอย่างดูดีไปซะหมด”

 

    ผมยังเชื่อมั่นว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นทางเลือกที่ดี ... และประเทศไทยยังมีอนาคตครับ


เจ้าของหนังสือ Best Seller “ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ” และยังเป็นวิทยากรคอร์ส “ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานแบบ Value/Growth Investor” ด้วยประสบการณ์ในตลาดทุนกว่า 17 ปี และประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์ บวกกับความเป็นคนอารมณ์ขัน  ทำให้คุณนิ้วโป้งสามารถถ่ายทอดเรื่องยาก อย่างการลงทุน ให้เข้าใจได้ง่าย และยังใช้ภาษา ลีลาที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงทำให้ได้รับเชิญไปบรรยายในงานต่างๆ มากมาย

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง