ถามว่ามีบ้างไหม ... บริษัทที่มีโมเดลธุรกิจที่อยู่รอดในทุกภาวะเศรษฐกิจ ก็ต้องตอบว่า "มี" แต่การมองหาโมเดลธุรกิจแบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และบริษัทนั้นก็คงจะน่าสนใจลงทุนไม่น้อย
โดยส่วนใหญ่แล้วเวลานักลงทุนมองมาที่เศรษฐกิจว่าดีหรือไม่ดี มักจะได้ยินคำหนึ่งควบคู่กัน คือคำว่า “NPLs" หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่าหนี้เสีย ยิ่งมีมากแปลว่าไม่ดี และรู้หรือไม่ว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมี NPLs เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12.8% ต่อปีเลยทีเดียวถือว่าสูงมาก
ดังนั้นโอกาสเป็นของนักลงทุนที่มองหาบริษัทที่อยู่ได้ในทุกภาวะเศรษฐกิจ บริษัทนั้นก็คือ “BAM" หรือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นั่นเอง ...
BAM กำลังจะเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยนะ และก่อนที่จะลงทุน นี่คือ 8 ข้อต้องรู้ก่อนจะลงทุนหุ้น BAM มีอะไรบ้าง มาดูกันครับ
1. BAM ทำธุรกิจอะไร
BAM ดำเนินธุรกิจ 2 ธุรกิจหลัก คือ
1.1 บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ที่คนไทยเรียกกันติดปากว่าหนี้เสีย หรือ NPLs นั่นเอง -- โดย BAM จะซื้อ NPLsมาจากธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่น ๆ โดยการประมูลหรือเจรจาซื้อจากสถาบันการเงินโดยตรง และนำมาบริหารจัดการโดยการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย บริษัทได้ประโยชน์ และลูกหนี้ได้ประโยชน์ สามารถชำระคืนหนี้ได้ แต่ทั้งนี้ NPLs เหล่านั้นก็ไม่ใช่สัญญาแบบกระดาษที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ส่วนใหญ่มีหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่ด้วยนั่นเอง มั่นใจได้ว่าปลอดภัย
1.2 บริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย (NPAs) –กรณี NPLs ที่ลูกหนี้ที่ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จริง ๆ ทาง BAM จะเจรจากับลูกหนี้เพื่อโอนหลักประกันตามสัญญา ไม่ว่าจะเป็นที่ดินเปล่า โรงแรม อาคารเพื่อการพาณิชย์ บ้านที่อยู่อาศัย เพื่อให้ BAM นำมาชำระหนี้ หรือซื้อ NPAs จากสถาบันการเงินอื่นโดยตรง นำมาบริหารจัดการเพื่อจำหน่ายต่อในราคาที่จูงใจผู้บริโภค และสามารถแข่งขันได้ในตลาดอสังหาริมทรัพย์มือ 2
2. ทำไมธุรกิจบริหารสินทรัพย์ถึงอยู่ได้ในทุกภาวะเศรษฐกิจ ...?
เศรษฐกิจขาขึ้น : ลูกหนี้มีความสามารถในการชำระหนี้ดีขึ้น และลูกค้ามีกำลังซื้อ NPAs
เศรษฐกิจขาลง : มี NPL ในระบบสถาบันการเงินมากขึ้น บริษัทบริหารสินทรัพย์สามารถเลือกซื้อหนี้เสียเหล่านั้นในราคาไม่สูง เมื่อนำมาบริหารจัดการใหม่จะยิ่งทำให้ได้รับผลตอบแทนมากยิ่งขึ้น
3. ขอจุดเด่นของหุ้น BAM แบบสั้นๆ
จุดเด่นของ BAM คือเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (โดยพิจารณาจากสินทรัพย์รวม ตามข้อมูลในรายงานภาวะอุตสาหกรรมซึ่งจัดทำโดยบริษัท อิปซอสส์ จำกัด) มีความชำนาญ ดำเนินธุรกิจมามากกว่า 20 ปี ทีมผู้บริหาร พนักงานที่มีประสบการณ์ มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ และถ้าได้เข้าตลาดหุ้นไทยแล้วจะเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
การดำเนินงานที่ยาวนาน ทำให้ BAM มีกลยุทธ์หลัก 3 ข้อที่เป็นเคล็ดลับให้บริษัทเติบโตมาอย่างต่อเนื่องและอยู่ได้ในทุกภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่ ...
1. เน้นขยายฐานทรัพย์สินของบริษัท
2. ลดระยะเวลาในการดำเนินงานและเพิ่มผลเรียกเก็บเงินสด
3. พัฒนาบุคลากร และศักยภาพของบริษัทอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทยังเน้นหนักในเรื่องมุ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและคู่ค้าต่างๆ เช่น สถาบันการเงินที่ขาย NPLs และ NPAs ที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจอีกด้วย โดยมีเป้าหมายในเรื่องของการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
4. ผลการดำเนินงานของ BAM ที่ผ่านมา
- ปี 2559 บริษัทมีรายได้รวม 8.76 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 4.90 พันล้านบาท
- ปี 2560 บริษัทมีรายได้รวม 7.63 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 4.50 พันล้านบาท
- ปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 9.75 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 5.20 พันล้านบาท
- สำหรับงวด 6 เดือนปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 6.64 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 4.00 พันล้านบาท
สำหรับบริษัทบริหารสินทรัพย์นั้น กระแสเงินสดรับ (Cash Collection) เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา BAM มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยมีกระแสเงินสดรับปีละกว่าหมื่นล้านบาท โดยปี 2561 ที่ผ่านมาทำได้สูงถึง 1.65 หมื่นล้านบาท เติบโตสูงขึ้น 22.6% เมื่อเทียบกับปี 2560
นอกจากกระแสเงินสดรับที่แข็งแกร่งแล้ว การทำธุรกิจย่อมต้องการกำไร โดย BAM มีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยปี 2561 มีกำไรสุทธิสูงถึง 5.20 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 15.6% จากปี 2560 และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สินทรัพย์เติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี ถือว่าโตไม่น้อยเลยทีเดียว
5. รายละเอียดหุ้น BAM แบบย่อ
BAM มีทุนจดทะเบียน 16,225 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,245 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (PAR) หุ้นละ 5 บาท
มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือกองทุน FIDF ถือหุ้น 99.99% ภายหลังจากการขาย IPO แล้วสัดส่วนการถือหุ้นของกองทุน FIDF อาจลดลงต่ำกว่า 50% แต่ไม่ต่ำกว่า 45%
** FIDF คือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
การเสนอขาย IPO ของ BAM ในครั้งนี้ประกอบด้วย (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 280 ล้านหุ้น (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกองทุน FIDF จำนวนไม่เกิน 1,255 ล้านหุ้น และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 230 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 1,765 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 54.4 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของ BAM ภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (หากมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจาก BAM ทั้งจำนวน)
6. หลังจากขาย IPO แล้วบริษัทมีนโยบายนำเงินไปทำอะไรบ้าง
- เพื่อนำไปขยายธุรกิจ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในอนาคต
- คืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน ชำระหุ้นกู้ ตั๋วเงินจ่าย เพื่อลดหนี้สิน
- เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
7. บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิสูงกว่า 50 %
ถือว่าเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีความสามาถในการทำกำไรสูง โดยในช่วงสามปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิสูงถึงปีละกว่า 50%
- ในปี 2559 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ ที่ 55.96%
- ในปี 2560 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ ที่ 59.02%
- ในปี 2561 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ ที่ 53.35%
- สำหรับงวด 6 เดือน ปี 2562 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ สูงถึง 60.25 %
ที่มา: ร่างหนังสือชี้ชวนของ BAM
8. บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40%
บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ โดยการจ่ายเงินปันผลในปี 2561 บริษัทได้จ่ายในอัตรา 60% ของกำไรสุทธิ
ที่มา: ร่างหนังสือชี้ชวนของ BAM
นับเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจและน่าจับตามาก โดยเฉพาะช่วงตลาดผันผวน หุ้นกลุ่มต่าง ๆ ที่นักลงทุนกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี แต่สำหรับ BAM แล้ว ด้วยโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า "ทนทาน" ต่อทุกภาวะเศรษฐกิจ และมีเป้าหมาย "มุ่งสู่การเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ดีที่สุดของประเทศ" โดยการบริหารงานที่เป็นเลิศ และ มุ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกหนี้และลูกค้า ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ต้องนำมาขึ้น Stock Wish List แล้วครับ ...