“You Are What You Eat” สุขภาพร่ายกายของเราจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับอาหารที่เรากิน

“You Are What You Read” สุขภาพของสมองเราจะดีหรือไม่ดีก็น่าจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราอ่านเช่นกัน

ผมเชื่ออย่างมากว่า การได้อ่านหนังสือดี ๆ เปลี่ยนชีวิตเราได้ แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบการอ่านซักเท่าไหร่ควรจะเริ่มยังไงดี วันนี้ผมมีคำแนะนำง่าย ๆ มาฝากครับ

• เลือกหนังสือที่ตอบโจทย์และตรงจริต

เชื่อผมเถอะว่า เราไม่ได้เหมาะกับหนังสือ Best Seller ทุกเล่ม หลายครั้งที่เรามักจะซื้อหนังสือขายดี นักเขียนดัง หรือมีคนแนะนำ แต่พอเราเปิดอ่านแล้ว มีอาการปวดหัวตาลายคล้ายจะเป็นลม ถ้าเป็นแบบนี้แนะนำว่าอย่าอ่านครับ อันดับแรกถามตัวเองก่อนว่าต้องการอะไร โจทย์ของเราคืออะไร เราสามารถเลือกเล่มง่าย ๆ ที่ไม่ดัง แต่อ่านแล้วเข้าใจง่ายน่าจะดีกว่า อย่าลืมว่า เราไม่ได้อ่านหนังสือเพราะต้องการให้ใครชม แต่เราอ่านเพราะต้องการให้ตัวเราเก่งขึ้น

• เลือกเล่มบาง ๆ มีหลายบท และจบในตอน

แค่ยกหนังสือยังหนัก เห็นจำนวนหน้าก็ท้อใจ วางเลยครับ แล้วไปหาหนังสือเล่มบาง ๆ แบ่งเป็นตอนย่อย ๆ มาอ่านดีกว่า เวลาอ่านจบแต่ละตอนเราจะได้มีกำลังใจและที่สำคัญไม่งงด้วยว่า ที่เราอ่านจบไปหลายหน้า เราได้อะไรไปบ้าง เนื้อหาคืออะไร

• ไฮไลท์ขีดข้อความโดนใจ หยิบปากกาเขียนเรื่องสงสัย

เวลาอ่านหนังสือแล้วเจอข้อความสำคัญ คำพูดโดนใจ หยิบไฮไลท์ขีดไว้เลยครับ หรือเวลาสงสัย ไม่เห็นด้วย หรือต่อยอดเพิ่มเติมจากสิ่งที่อ่าน ก็เอาปากกาเขียนลงไปเลย ไม่ต้องกลัวสกปรกเลอะเทอะ เวลาพลิกกลับมาดูอีกรอบจะได้เห็นว่าเราขีดเราเขียนอะไรไว้บ้าง

• สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้และการเอาไปใช้

อ่านหนังสือจบเล่มนึง ถ้าไม่จด ไม่สรุป ไม่เกิน 2 วัน จะลืมหมดครับ แนะนำให้จดสิ่งที่ได้เรียนรู้ ข้อคิดที่ได้ รวมถึงสิ่งที่คิดว่าเราน่าจะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน เขียนออกมาเป็นข้อ ๆ ก็ได้ครับ ง่ายดี 4-5 ข้อก็พอแล้ว ไม่ต้องเยอะ เพราะเราสรุปเพื่อเอาไปใช้ต่อเอง ไม่ได้สรุปไปส่งอาจารย์หรือหัวหน้าเพื่อเก็บคะแนน

• เล่มไหนอ่านแล้วไม่ชอบ อย่าฝีน

อย่าไปคิดว่า เสียดายเงินซื้อหนังสือมาแล้ว ต้องอ่านให้จบเล่ม ตอนซื้อเปิดอ่านไม่กี่หน้า สนุกดี พออ่านจริงไม่ชอบ หรือบางทียากเกินไป ไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่ม หรือยังไม่ถึงเวลาของเราที่จะอ่านเล่มนี้ในตอนนี้ แนะนำว่าให้ปิดเลยครับ เลิกอ่านเถอะ แล้วเอาเวลาไปอ่านเล่มอื่นที่เหมาะกับเราจะดีกว่า อย่ามัวเสียเวลา อย่าไปคิดว่าต้องอ่านให้คุ้ม บางครั้งทั้งเล่ม เราได้ความรู้แค่บทเดียวที่เราเอาไปต่อยอดได้ ก็อาจจะคุ้มแล้วก็ได้ครับ

• ไหว้ขอบคุณหนังสือ

เพราะเราได้รับความรู้จากหนังสือที่อ่าน เปรียบเสมือนครูของเรา ก็อยากให้ยกมือไหว้ขอบคุณหนังสือที่เราเพิ่งอ่านจบไปครับ ถ้ามีโอกาสเจอคนเขียน ก็ไปขอบคุณที่เค้าเขียนหนังสือดี ๆ มาให้เราอ่านก็จะดีมากด้วยเช่นกัน

• ต่อยอดความรู้ของนักเขียนคนนั้น

ถ้าเราอ่านหนังสือของใครแล้วเราชอบ เราได้ความรู้ดี ๆ จากเค้า ลองไปหาหนังสือเล่มอื่นของนักเขียนคนนี้มาอ่านเพิ่มเติม หรือไปหาคลิปวีดีโอ บทสัมภาษณ์ หรือ Facebook ของเค้า เพื่อที่จะได้ติดตามต่อยอดแนวคิดของเค้าให้มากขึ้นไป เหมือนเป็นการเรียนหลักสูตรเพิ่มเติม

ผมหวังว่าต่อจากนี้ไปทุกคนคงมีความสุขและได้ความรู้กับการอ่านหนังสือมากขึ้นนะครับ อย่าลืมว่า

You are what you read และ Your investment result probably come from what you read as well.