ถ่านหินนับเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ในโรงไฟฟ้าที่มีราคาถูกที่สุด (เมื่อเทียบราคาต่อหน่วยไฟฟ้า) ในเวลานี้ ความต้องการถ่านหินเคยพุ่งพรวดเมื่อในทศวรรษที่แล้ว และพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศจีนมีการเติบโตในอัตราที่สูง
เป็นเรื่องปกติที่ประเทศที่กำลังเจริญเติบโต มีตัวเลขการเติบโตของ GDP ในอัตราที่สูงย่อมมีความต้องการพลังงานที่มากขึ้นตามไปด้วย และไม่มีเชื้อเพลิงชนิดใดที่จะสามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้ดีไปกว่าถ่านหินในเวลานี้
การผลิตถ่านหินยังคงเพิ่มสูงขึ้นแต่ในอัตราที่ต่ำ เช่นเดียวกับความต้องการใช้ถ่านหินที่ยังคงเติบโตขึ้นโดยเฉพาะในอินเดีย ปากีสถาน และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความต้องการใช้ถ่านหินเติบโตควบคู่ไปกับความต้องการใช้พลังงานในประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าประเทศในแถบเอเชียยังมีความต้องการพลังงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาประเทศ
ในขณะที่ในสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลียนั้น ความต้องการพลังงานนั้นหยุดนิ่งมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
ความกังวลต่อภาวะโลกร้อน ซึ่งล่าสุดก็มีข่าวว่า แผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ในทวีปแอนตาร์กติกาได้หลุดออกจากผืนทวีปอีกแผ่นหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องเรื่องการใช้พลังงานสะอาดเพื่อชะลอต่อชีวิตให้กับโลกของเราให้ยาวนานออกไป นั่นเพราะทุกๆ 1 องศาของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่สูงขึ้น จะส่งผลอย่างมากต่อการละลายของน้ำแข็งทั้งบริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้
ถ่านหิน ซึ่งตอนนี้ถูกนับว่าเป็นพลังงานที่สกปรก และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก จึงถูกต่อต้านอย่างเต็มที่
หลายหน่วยงานได้มีการประเมินอนาคตของถ่านหินว่า ความต้องการใช้ถ่านหินจะยังไม่ลดลง แต่จะเพิ่มขึ้นในระดับต่ำมากๆในระยะ 5 ปีข้างหน้า โดยทั้งหมดมาจากความต้องการใช้ในเอเชีย ซึ่งองค์กรเหล่านั้นก็เข้าใจว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ประเทศในเอเชียซึ่งมีความจำเป็นต้องผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในปริมาณให้สอดคล้องกับการเติบโตของประเทศยกเลิกการใช้ถ่านหินไปได้
แต่อย่างน้อยเราก็เห็นหลายประเทศเริ่มมีการกำหนดแนวทางในการใช้ถ่านหินให้น้อยลง อย่างเช่นในประเทศจีนเป็นต้น แม้กระทั่งในไทยเอง โรงไฟฟ้าถ่านหินก็ถูกต่อต้านอย่างหนัก แม้ภาครัฐจะพยายามอธิบายว่า เทคโนโลยีที่ใช้ในโรงไฟฟ้าถ่านหินตามแผนการใหม่นี้ จะใช้ถ่านหินที่มีคุณภาพสูง และใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมากก็ตามแต่ แต่เรายังไม่เห็นการเกิดขึ้นของโรงไฟฟ้าถ่านหินอีกเลย นับจากการต่อต้านโรงไฟฟ้าที่กระบี่ประสบความสำเร็จ
บริษัทขนาดใหญ่ในโลกที่เคยมีรายได้หลักจากการขายถ่านหิน ในเวลานี้เริ่มมีแผนที่จะถอนตัวออกจากธุรกิจถ่านหินกันแล้ว สถาบันการเงินในหลายประเทศ มีนโยบายไม่อนุมัติเงินกู้ให้กับโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับถ่านหิน
มีการประเมินกันว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินในสหรัฐนั้นมีต้นทุนในการดำเนินงานต่อในปี 2018 ที่ผ่านมา สูงกว่าการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมเสียอีก
BANPU ก็เช่นกัน ซึ่งเป็นบริษัทที่มีรายได้หลักจากการขายถ่านหินมาตั้งแต่ก่อน และได้มีการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้าภายใต้บริษัทลูกอย่าง BPP
แต่หากดูอนาคตของถ่านหินแล้ว นั่นไม่เพียงพอสำหรับ BANPU อย่างแน่นอนที่จะสามารถรักษาระดับรายได้ ผลกำไร และสร้างการเติบโตในอนาคตได้
เราจึงเห็นบริษัทอย่าง BANPU เริ่มมีการปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้ว โดยหันเข้าสู่ธุรกิจพลังงานด้านอื่นแทน เช่นไปทำธุรกิจด้านก๊าซธรรมชาติ และพลังงานทดแทน นับเป็นกระจายความเสี่ยงแต่เนิ่นๆ ก่อนที่อนาคตถ่านหินอาจจะต้องดับวูบลง แม้จะไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้ แต่ก็คงไม่ไกลนัก
นั่นเพราะราคาของก๊าซธรรมชาติที่เริ่มถูกลงมาก จนกลายมาเป็นแหล่งเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่เป็นคู่แข่งกับถ่านหินได้ นอกจากนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าจากลมและแสงอาทิตย์ก็ค่อยๆถูกลงด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้น หาก BANPU ไม่ปรับตัวอะไรเลย และหวังพึ่งพารายได้จากถ่านหินเช่นเดิม รายได้และกำไรของบริษัทก็คงได้แต่หวังพึ่งการเคลื่อนไหวของราคาถ่านหินเพียงอย่างเดียว หากถ่านหินมีราคาสูงขึ้น รายได้ก็จะดีขึ้น แต่หากถ่านหินราคาต่ำลง รายได้ก็จะแย่ลงตามไปด้วย
นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง BANPU เริ่มมีการปรับตัวแล้ว แต่หากถามว่า เราจะเห็นผลบวกจากการปรับตัวนี้ได้เมื่อไหร่??
นี่นับเป็นสิ่งที่กดดันราคาหุ้น BANPU ให้ปรับลงมาอย่างต่อเนื่อง เพราะในขณะที่ธุรกิจหลักเดิมกำลังจะหมดอนาคต แต่ยังไม่มีความชัดเจนในแง่ของรายได้จากธุรกิจที่เริ่มใหม่ว่าจะมาทดแทนได้เมื่อไหร่ จึงทำให้นักลงทุนเลือกที่จะยืนดูอยู่ห่างๆมากกว่า
เราได้เห็นความพยายามหลายๆอย่างของ BANPU ในการพยายามพยุงราคาหุ้น ไม่ให้ตกต่ำลงไปกว่านี้
การที่นักวิเคราะห์หลายแห่งออกมาประสานเสียงว่า ราคาหุ้น BANPU นั้นถูกมากเมื่อเทียบกับ valuation ที่ควรเป็น ก็ทำให้มีนักลงทุนจำนวนมากเริ่มเก็บหุ้นกันตั้งแต่ราคาเหยียบ 20 บาท แต่แล้วราคาหุ้นก็ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
การออกข่าวการซื้อหุ้นคืน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่บริษัทนิยมใช้พยุงราคาหุ้น เพราะเพียงแค่ออกข่าวมา ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นทันที ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเลขที่ออกมาว่ามีงบเท่าไหร่ และซื้อคืนจำนวนเท่าไหร่นั้น เป็นตัวเลขสูงสุดทึ่กำหนดเอาไว้ โดยในความเป็นจริงจะซื้อน้อยกว่านั้นก็ได้ หรืออาจไม่ซื้อเลยก็เป็นได้
ซึ่งถ้าดูจากรายงานที่ผ่านมา การซื้อหุ้นคืนมีในปริมาณที่น้อยมาก อย่างเมื่อวานนี้ที่มีข่าวลือว่าบริษัทอาจซื้อหุ้นคืน ปรากฏว่าก็ซื้อคืนจริงนะ แค่ 1 หมื่นหุ้น และวันนี้ก็ซื้ออีก 1 หมื่นหุ้น
ดังนั้นเรื่องการซื้อหุ้นคืนของ BANPU ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าเป็นเพียงมาตรการทางจิตวิทยาเพื่อพยุงราคาหุ้นเท่านั้น บริษัทไม่ได้มีความต้องการซื้อหุ้นคืนในปริมาณมาก
ต่างกันตอนที่ JAS เคยซื้อหุ้นคืน นั่นซื้อคืนในปริมาณและตัดหุ้นเหล่านั้นทิ้ง เพื่อหวังเพิ่มปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
ข่าวที่ออกในหน้า นสพ. เช้านี้ว่ามีกระแสว่าบริษัทจะออกวอแรนท์ ถ้าพิจารณาแล้ว ก็เชื่อว่า หากออกจริง ก็เป็นการออกเพื่อหวังผลให้เกิดการเก็งกำไรในราคาหุ้นเท่านั้น ยกเว้นเสียแต่ว่าบริษัทมีแผนที่จะต้องใช้เงินอนาคตจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หากใครได้ดูลักษณะการวาง bid offer ของหุ้น BANPU ในช่วงบ่ายวันนี้ เราจะเห็นความผิดปกติอย่างมาก ที่มีการวาง offer หนาถึง 40 ล้านหุ้นในช่องราคาเดียว และก็มีการขยับเปลี่ยนจำนวนการวางและขยับราคาลงมา เช่นเดียวกับการวางจำนวนหุ้น bid ที่ราคา 12.00 บาทที่เห็นในช่วงระยะเวลาสั้นๆสูงถึง 21 ล้านหุ้น แล้วก็ถอนออกไป
ลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นได้เลยว่า หุ้นตัวนี้ "มีคนคุมอยู่" เพราะการ bid offer นั้นมีความผิดปกติไปกว่าที่เป็นอยู่ และยังแปลกกว่าการ bid offer ของเมื่อวานนี้ที่มีการซื้อขายกันมากกว่าวันนี้กว่า 2 เท่าตัว
ในภาวะตลาดหุ้นเช่นนี้ ถ้ารอได้ ก็ถือเงินรอความชัดเจนกว่านี้อีกสักนิดค่อยซื้อก็ยังไม่สาย ยิ่งเป็นหุ้นที่ธุรกิจเดิมกำลังจะหมดอนาคตอย่าง BANPU เราน่าจะต้องรอดูให้แน่ชัดว่า การเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจของบริษัทจะเริ่มเห็นผลบวกที่จะเข้ามาต่องบการเงินเมื่อไหร่กันแน่
หุ้นมีอีกเป็นร้อยบริษัทให้เลือก ของถูกก็มีมากมายให้เลือกเช่นกัน ดังนั้น เลือกตัวที่คิดว่า "ถูกและดี" ดีกว่า
อย่าเลือกเพียงเพราะว่าหุ้นมัน "ถูก"
ป,ล, มุมมองนี้เป็นมุมมองในด้านของพื้นฐานธุรกิจเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการเก็งกำไรด้วยมูลเหตุอื่น
Cr.Wattana Stock Page