มีนักลงทุนจำนวนมากพยายาม "คัดหุ้น" ที่่มี P/E ต่ำ และปันผลสูง แต่รู้หรือไม่ว่าการใช้ "วิธีคิด" แบบนี้จะทำให้เราติดดอยไม่รู้ตัว ได้ปันผลจริง P/E ต่ำจริง แต่ราคาก็อาจจะลงต่อได้จริง เราต้องเข้าใจเงื่อนไขแบบนี้ก่อนครับ
== ปันผลสูง ==
1. ปันผลเกิดมาจากกำไร ถ้าในอนาคตบริษัทโตลดลง ก็จะจ่ายปันผลได้ลดลงตาม
2. ปันผลสูงเพราะธุรกิจอิ่มตัว ไม่มีแผนการลงทุนใหญ่ ๆ ก็จ่ายปันผลได้เยอะ บางบริษัทจ่าย 100% ก็มี แต่ก็เป็นการสะท้อนว่าหุ้นจะไม่เติบโตแบบมาก ๆ
3. ในบางกรณี ปันผลสูง เพราะมีกำไรพิเศษ แต่ปีต่อมา อาจจะลดลงได้
== P/E ต่ำ ==
1. เพราะมีความผันผวนเยอะ ตลาดมองว่ามีความเสี่ยง ไม่กล้าให้ P/E สูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ ขึ้นอยู่กับโครงการใหม่ที่จะเสร็จ คอมโมดิตี้ ขึ้นกับสภาพอากาศ หรือแม้แต่ธนาคารก็อิงกับภาวะเศรษฐกิจ
2. เพราะอนาคตไม่น่าจะดี ตลาดก็ไม่ให้ราคาสูง เช่น ธุรกิจที่จะถูก disrupt ธุรกิจที่เห็นแนวโน้มการเติบโตลดลงเรื่อย ๆ และไม่มีกลยุทธ์ที่จะกลับมาโตอย่างชัดเจน ตลาดก็เลือกที่จ re-rete PE ลดลง
3. ในบางกรณี P/E ต่ำเพราะมีกำไรพิเศษ
ในมุมมองส่วนตัวของผม ถ้าดูจากใน List เราจะเห็นความเสี่ยงของหุ้นบางตัว เช่น
- BEAUTY เติบโตลดลงมาเรื่อย ๆ SSSG ลดลง สาขาเปิดได้น้อยลง เวลาเดินผ่านร้านแทบไม่เห็นลูกค้า ทั้งๆ ที่ทำโปรโมชั่นลดกระจาย มาดูกลยุทธ์ของบริษัทก็ค่อนข้างหลากหลายจนจับไม่ถูกว่าจะทำอะไรดี
- SIRI ดูเหนื่อย ยอด Pre-Sale ลดลง ปรับเป้าลงจาก 36,000 เหลือ 30,000 ล้านบาท และลดโครงการจาก 28 เหลือ 24 โครงการ
- KCE, HANA, TVO นอกจากบาทแข็งแล้ว เรื่อง Trade War ก็ยังกระทบตามมาอีก
- QH ในมุมหนึ่งดูดีเพราะว่าถือหุ้นบริษัทอื่นทีกำไรยังดูดีเยอะอย่าง HMPRO แต่ในมุมของตัวเองที่เป็นอสังหาก็อาจจะยังไม่ดีนัก
คือ ไม่ได้บอกว่าลงทุนไม่ได้นะครับ แต่ว่าเราต้องเข้าใจด้วยว่าเรากำลังลงทุนอยู่บนเงื่อนไขอะไร เช่น
- ได้ปันผลสูงนะ แต่ราคาหุ้นอาจลดลง คุ้มมั้ย
- ธุรกิจผันผวนนะ บาทแข็ง Trade War ไม่แน่นอน รับได้มั้ย
- อนาคตบริษัทยังไงไม่รู้ กลยุทธ์ไม่ชัด ไหวมั้ย
== นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า==
อย่าดูตัวเลขแค่ผิวเผินที่ภายนอก แต่ต้องดูความหมายซ่อนอยู่ที่ภายใน
อย่าดูคนว่าสวยงามที่หน้าตา แต่ต้องดูความใส่ใจข้างในที่มอบให้