ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาทั้งเดือน จัดว่าผันผวนในเชิงลบอย่างยิ่ง นักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นไทยอย่างหนักหน่วง เพียงเดือนเดียวขายออกไปมากกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท ทั่วโลกมีสัญญาณ Risk Off คือหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกเป็นขาลง ตลาดหุ้นหลักๆไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือยุโรปสามารถขึ้นลงได้วันละ 1-3% ปั่นป่วนตามข่าวสงครามการค้า ค่าเงินหยวนอ่อนค่า และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง นักลงทุนรายย่อยมักจะเป็นผู้บาดเจ็บและทนพิษบาดแผลการลงทุนไม่ไหว ซึ่งมักจะแสดงออกด้วยพฤติกรรม 2 อย่าง
หนึ่ง...Loss Aversion คือ ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อขาดทุน เมื่อหุ้นตก ก็ไม่ยอมขาย เพราะยอมรับความรู้สึกเจ็บปวดที่ขาดทุนไม่ได้ ก็มักจะทนถือต่อไป โดยมีความหวังว่าเมื่อมันตกได้ เดี๋ยวมันก็ขึ้นได้
- 6-7 ปีที่แล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่สามารถกลับไปที่ราคาแถวนั้นได้อีกเลย ซ้ำร้ายราคาหุ้นยังเป็นขาลงทางเดียวอย่างน่ากลัวอีกด้วย หรือหุ้นสื่อทีวี ที่เคยเป็นดาวเด่น จ่ายปันผลงาม ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นตลอด แต่ในช่วงหลังกลับเป็นขาลงอย่างหนักหน่วง
หุ้นที่เราตั้งหลักวิเคราะห์แล้ว มองไม่ออกว่ารายได้และกำไรจะกลับมาได้อย่างไร แบบนี้ควรขายคัทลอส เก็บเงินสดออกมาครับ เพราะขาลงของหุ้นที่รายได้ลด กำไรลด จะบั่นทอนกำลังใจและสภาพพอร์ตหุ้นของเราอย่างรุนแรง จำไว้ว่า...เราจะทนถือและทนถัวกับหุ้นที่พื้นฐานดี เป็น defensive stock (หุ้นแข็งแกร่ง) หรือ cyclical stock (หุ้นวัฏจักร) ที่ราคากำลังตกต่ำลดกระหน่ำ และคาดว่าจะกลับมาดีได้ ในรอบเศรษฐกิจขาขึ้นใหม่เท่านั้น
สอง...Reference Point Bias คือ การที่นักลงทุนมักกำหนด ”จุดราคาอ้างอิง” ในการตัดสินใจเสมอไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม สมมติว่าเราสนใจซื้อหุ้น A ที่เมื่อ 6 เดือนที่แล้วราคาอยู่ที่ 7 บาท ตอนนี้ราคาพุ่งเป็น 11 บาท
Q: คุณจะตัดสินใจอย่างไร ? ซื้อหุ้น A ทันที หรือ รอให้ราคาตกมาที่ 7 บาทใหม่อีกครั้ง ค่อยเข้าซื้อ ?
นักลงทุนส่วนใหญ่จะมองว่าที่ราคา 11 บาท หุ้น A แพงเกินไปแล้ว เพราะจุดราคาอ้างอิงของเขา คือ 7 บาท ผมเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะ “รอย่อ” ปรากฏว่าผ่านไป 1 เดือน หุ้น A นอกจากราคาจะไม่ย่อ แต่กลับพุ่งขึ้นไปถึง 14 บาท ถึงตรงนี้นักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานส่วนใหญ่ไม่กล้าไล่ซื้อแล้วแน่ครับ เพราะราคาเพิ่ม 100% ใน 7 เดือน
ปรากฏว่า ในเวลาสัปดาห์เดียว หุ้น A ก็ถูกแรงเทขายจนราคาตกลงมาเหลือ 12 บาท (ลดลง 14% จากยอดดอย 14 บาท) ทั้งที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยในเชิงพื้นฐานกิจการ และภาวะการลงทุน เรียกว่าราคาลดลงทั้งๆที่ตลาดหุ้นยังดูดี
Q: คราวนี้คุณจะตัดสินใจอย่างไร ? ซื้อหุ้น A ทันทีเพราะมองว่าราคาถูกเมื่อเทียบกับที่เคยขึ้นไปถึง 14 บาท หรือ ยังคิดว่าราคาแพงเกินไปอยู่ดี เพราะยังจำราคาหุ้น A ที่ย่ำอยู่แถว 7 บาทตั้งนานได้ ?
นักลงทุนส่วนใหญ่ที่พบเจอ จะมองว่าหุ้นราคา 12 บาท ตอนนี้ถูกเริ่มน่าซื้อ เมื่อเทียบกับ 14 บาท เมื่อสัปดาห์ก่อน ทั้งที่เป็นหุ้นตัวเดิม พื้นฐานทุกอย่างเหมือนเดิม
เหตุผลก็เพราะการตัดสินใจของนักลงทุนมักจะขึ้นอยู่กับจุดราคาอ้างอิง ในกรณี นี้ ราคาหุ้น A ที่เปลี่ยนไป เป็นจุดอ้างอิงในการตัดสินใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น 7, 14 หรือ 12 บาท แต่จุดอ้างอิงที่ทรงพลังที่สุด คือ จุดราคาล่าสุด
ดังนั้นตอนที่หุ้นขึ้นจาก 7 บาท เป็น 14 บาท เราจึงมองว่าหุ้นแพง แต่ตอนที่หุ้นตกจาก 14 บาท เป็น 12 บาท เรากลับมองว่าหุ้นถูก เพราะเราเปลี่ยนจุดอ้างอิงจาก 7 บาท เป็น 14 บาทนั่นเอง เมื่อพฤติกรรมของคนเราเป็นอย่างนี้ จึงเป็นธรรมดาที่คนจำนวนมากชอบซื้อหุ้นขาลง และมักจะผิดพลาดหนักด้วยการถัวขาลงแบบอันลิมิต บางครั้งถึงกับขายหุ้นตัวอื่นที่กำไรอยู่เพื่อมาถัวหุ้นขาลงตัวนี้ตัวเดียว จะเห็นได้ว่าอารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของเรามาก
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว “ปัจจัยพื้นฐาน” ของหุ้นคือสิ่งที่นักลงทุนจะต้องกอดแน่นๆในยามที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง นี่คือปัจจัยที่ใช้ตัดสินใจที่ดีที่สุด ว่าจะขายคัทตัดจบ ทนถือรอผงก หรือ ลุยถัวขยายพอร์ต