เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว เหตุการณ์ที่สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกก็คือ inverted yield curve หรือการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ลดลงต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นสัญญาณเตือนถึงการภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจโลกในอนาคตอันใกล้ (ราว 1 - 2 ปี)
ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่ง 800 จุด เพียงแค่ว่าส่วนต่างของผลตอบแทนพลิกจากบวกเป็นลบ 0.4 basis point เท่านั้น (-0.004%) [1 basis point คือ 0.01%]
อาจมีคนถามว่า ทำไมถึงเลือกเอาพันธบัตร 10 ปี กับ 2 ปีมาเปรียบเทียบ อันนี้ลองไปค้นหาอ่านดูกันนะครับ
ความกังวลว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากสัญญาณเตือนเรื่อง inverted yield curve นี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกถูกเทขาย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่สหรัฐ ก็ดำดิ่งลงเช่นเดียวกัน
แต่หลายคนก็ไม่ได้มองเช่นนั้น แม้กระทั่งอดีตประธาน Fed นางเจเนต เยเลน ก็ยังออกมาบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับ yield curve นั้นไม่จำเป็นจะต้องนำไปสู่ภาวะถดถอยเสมอไป และเชื่อว่าในครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว 10 ปี และ 30 ปี ปรับตัวลดลงรุนแรงอีกครั้ง จนทำให้ค่าส่วนต่างดังกล่าวฉีกกว้างไปถึงลบ 6 basis point (0.06%) ซึ่งนับเป็นระดับที่กว้างที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007
นอกจากนั้น ในข่าวจากสำนักข่าวเศรษฐกิจต่างๆก็นำเราไปสู่ผลตอบแทนคู่ใหม่ คือ ผลตอบแทนพันธบัตร 30 ปี ลดต่ำกลงกว่าระยะ 3 เดือน แล้วก็บอกว่า นี่ยิ่งเป็นสัญญาณเตือนที่หนักกว่าอันแรกเสียอีก
น่าแปลกตรงที่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐออกอาการ panic เลย เพราะเมื่อคืนนี้ Dow ปรับบวกไปถึงกว่า 250 จุด
ตลาดหุ้นเริ่มชินชากับเรื่องนี้แล้ว หรือว่าอย่างไร คงไม่มีใครตอบได้ในเวลานี้ เพราะกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการถดถอยของเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ คงต้องรอไปอีกอย่างน้อย 1 ปี แล้วดูว่าจะเป็นอย่างไร จะมีสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอยจริงไหมจึงจะสามารถพิสูจน์ความแม่นยำของความเชื่อเรื่อง inverted yield curve ได้
แต่ที่แน่ๆ ภาวะ inverted yield curve บอกเราได้ชัดเจนอย่างหนึ่งว่า กระแสของเงินลงทุน กำลังหนีไปสู่แหล่งพักเงินที่คาดว่าจะปลอดภัย ซึ่งแน่นอนว่า พันธบัตรเป็นหนึ่งในตราสารที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
แรงซื้อที่ถาโถมเข้าไป ทำให้ราคาของพันธบัตรแพงขึ้น กดให้อัตราผลตอบแทนลดต่ำลง (พันธบัตรจ่ายผลตอบแทนคงที่ ดังนั้นเมื่อราคาสูงขึ้น ผลตอบแทนจะต่ำลง)
และเครื่องยืนยันถึงเหตุการณ์ดังกล่าวก็คือ ราคาทองคำ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฐานะโลหะมีค่าที่มีสถานะเป็น safe haven ของเงินลงทุน
สกุลเงินที่มีคุณสมบัติดังกล่าวก็ต่างมีแรงซื้อเช่นเดียวกัน แม้กระทั่ง "เงินบาท" ที่ได้คุณสมบัติ safe haven มาจากฐานะทางการคลังของประเทศที่แข็งแกร่ง ก็แข็งค่าขึ้นสวนทางค่าเงินสกุลอื่น (US dollar index ที่เป็นดัชนีค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับ 6 สกุลหลักอื่นทั่วโลกก็ดีดตัวขึ้น)
สิ่งที่บอกได้ในตอนนี้ก็คือ แม้จะยังไม่แน่ใจว่าภาวะถดถอยจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่นักลงทุนบางส่วนเริ่มเตรียมตัวป้องกันเงินลงทุนของตนเองกันแล้ว จึงโยกเงินเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยกันล่วงหน้า เพราะอย่าลืมว่าใครไปก่อนก็ได้ของถูก ถ้าตามไปทีหลังก็ได้ของแพง
ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า "แล้วเศรษฐกิจมันจะถดถอยจริงไหม?" การโยกเงินจากความกังวลต่างๆนานา โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าสหรัฐ - จีนว่าจะทำให้เศรษฐกิจถดถอย เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่ามาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น inverted yield curve การปรับขึ้นของทองทำ และการแข็งค่าของสกุลเงินบางสกุล
หลายคนมองว่าเป็นจังหวะในการเข้าซื้อหุ้น ไม่แค่ในประเทศไทย แต่ในสหรัฐก็เช่นกัน เพราะถ้ามองอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบันแล้วล่ะก็ หุ้นขนาดใหญ่หลายตัวในสหรัฐให้เงินปันผลถึง 5% ต่อปี
สำหรับของไทยเรา หากคิดเงินปันผลที่คาดว่าจะจ่ายจากผลประกอบการปีนี้ กับราคาหุ้นในเวลานี้ หลายตัวให้ผลตอบแทนน่าสนใจมาก
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ยังมีนักลงทุนส่วนหนึ่งที่มีความเชื่อว่า เดี๋ยวสงครามการค้าก็จะจบลง แล้วอะไรๆก็จะคลี่คลาย หรือพูดง่ายๆว่า ไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะถึงขนาดถดถอยหรือเกิดวิกฤตแบบครั้งที่ผ่านมา อาจแค่ชะลอลงบ้างเล็กน้อย คนกลุ่มนี้จะกล้าที่จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมตลาดหุ้นมันไม่ลงแบบแรงๆไปเลย ทั้งดัชนีไทยและสหรัฐต่างมีการรีบาวด์แบบแรงๆให้เห็นสลับเข้ามาบ้าง เพราะอะไร?
เพราะวิกฤตมันยังไม่เกิด เศรษฐกิจมันยังไม่ถดถอยให้เราเห็นนั่นเอง
เราต้องไม่ลืมว่า หากการโยกเงินสู่สินทรัพย์ปลอดภัยครั้งนี้ เป็นการตื่นตูมเกินไป ท้ายที่สุด มันแค่ถดถอยระยะสั้น ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
แต่หากวิกฤตมันเกิดขึ้นจริง คงไม่ใช่แค่ติดดอย อาจจะติดถึงดาว (อังคาร) เลยก็ได้
จะออกทางไหน ไม่มีใครรู้ ตัวเลขเศรษฐกิจ รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในอนาคตจะเป็นตัวบอก
มีคนประเมินว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ - จีน จะเป็นมหากาพย์เรื่องยาวที่กินเวลาเป็นสิบปี ไม่ต่างกับระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ผมไม่อยากเชื่อหรอก ผมเชื่อว่ามันจะจบเร็วแน่ ขอแค่ "ทรัมป์" ไม่ได้ไปต่อ
ที่มา : Wattana Stock Page