#วางแผนการเงิน

เราใช้เงินหรือเงินใช้เรา

โดย ภัทรพล ศิลปาจารย์
เผยแพร่:
386 views

ถ้าวันนี้คุณมีรายได้แบบที่เป็น Active Income เดือนละ 1 ล้านบาท คุณว่าเยอะมั้ยครั้บ ? คำตอบคือเยอะมากใช่มั้ยครับ  แล้วถ้าเงินเดือนๆ ละ 1 ล้านบาทคุณคิดว่าต้องทำงานตำแหน่งอะไร? (CEO บางคน ยังได้ไม่ถึงเลยนะ)

ผมเคยถามหลายคนที่มีรายได้เดือนละล้าน คุณคิดว่าเขาใช้เงินกันเดือนละเท่าไหร่ครับ? ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ใช้เดือนละ 200,000 ถึง 300,000 บาทนั่นเอง ผมถามพวกเขาว่าทำไมใช้แค่นั้นเองอุตสาห์มีรายได้ตั้งเยอะ พวกเขาตอบผมว่าต้องเก็บไว้เผื่ออนาคตเพื่อวันเกษียณที่รายได้หยุด จะมีเงินเก็บก้อนใหญ่ไว้ก้อนหนึ่ง

 

คำถามต่อมาคือ พอหลังเกษียณแล้วคุณคิดว่าจะใช้เงินเท่าเดิมได้ไหม? ทุกคนตอบว่าไม่ได้ ต้องประหยัดขึ้นไม่มีใครตอบว่าจะใช้เงินเกิน 100,000 บาทเลยสักคน

 

นั่นแปลว่าคุณทำงานมาตั้งเกือบ 40 ปีเพื่อที่จะมาหดคุณภาพชีวิตลงตอนแก่อย่างนั้น เหรอ? เพื่อ !?!

 

เชื่อสิครับว่าตอนอายุ 60 ปีใช้เงิน 1 แสนบาทเดี๋ยวพออายุ 65 ปี ก็จะกล้าใช้เงินน้อยลงอีกเพราะกังวลว่าเงินเก็บจะหมด (นี่ขนาดว่ามีเงินเก็บเยอะแล้วนะ)

ทั้งที่ชีวิตหลังเกษียณควรจะเป็นช่วงเวลาที่สบายที่สุด มีความสุขที่สุด แต่เศร้าที่คนส่วนใหญ่กลับมีช่วงชีวิตหลังเกษียณที่เครียดที่สุดเพราะเรื่องเงินนี่แหละแล้วถ้าในทางกลับกัน ถ้าเงิน 1 ล้านนั้นเป็นรายได้ที่เรียกว่า Passive Income ล่ะ ผมถามคนกลุ่มเดิมว่าจะใช้กันเดือนละเท่าไหร่ คำตอบก็คือใช้หมดครับ เพราะเดี๋ยวเดือนหน้ามันก็มาใหม่อีกเลยไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม

 

ผมอยากให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างคำว่า Quality (คุณภาพ) และ Quantity (ปริมาณ) 1 ล้านบาทคือ ปริมาณ แต่ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันนี้ Active Income กับ Passive Income จะให้คุณภาพชีวิตที่แตกต่างกันมากมายครับ

อิสรภาพทางการเงินไม่ใช่แค่สภาวะทางกายเท่านั้น ไม่ใช่มีแค่เงินที่ซื้อความสุขใส่ตัว แต่มันเกี่ยวกับสภาวะความสงบของจิตใจด้วย (หรือที่เรียกว่า Peace of Mind)  ถ้าคุณมี Passive Income คุณจะใช้เงินได้อย่างไม่ต้องกังวลใจเลย “นี่แหละคือิสรภาพทางการเงิน” ผมถามคนที่มีรายได้เดือนละ 1 ล้านบาทแต่เป็น Active Income ว่าทำไมไม่ใช้เงินต่อเดือนให้มากกว่านั้นสะหน่อยล่ะ เช่น เดือนละ 400,000 บาท พวกเขาตอบว่ากลัวเหลือน้อยไม่พอเก็บ

 

ผมถามต่อีกว่าแล้วทำไมไม่ใช้แค่แสนเดียวก็พอ ใช้ทำไมตั้ง 2-3 แสน เขาตอบว่าไงรู้มั้ยครับ ? เขาบอกว่าถ้าน้อยกว่านั้นมันไม่ตอบโจทย์ชีวิต สรุป กลายเป็นว่า ใช้เยอะไปก็รู้สึกผิด ใช้น้อยไปก็รู้สึกผิด นั่นแปลว่าคุณจะรู้สึกผิดในการใช้เงินไปตลอดชีวิต ถ้าคุณมีรายได้จากการ Active Income ขนาดคุณีรายได้เยอะขนาดนี้ ยังไม่กล้าใช้เงิน พอหลังเกษียณคุณต้องไม่กล้าใช้เงินยิ่งกว่าเดิมแน่นอน นั่นแปลว่าตั้งแต่เกิดจนตายคุณเครียดกับการไม่กล้าใช้เงินตลอดชีวิต

“น่าเสียดายถ้าตายไป แล้วใช้เงินไม่หมด แต่น่าสลด ถ้าเงินหมด แล้วยังไม่ตาย” คุณคงเคยได้ยินประโยคเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง ไม่รู้จะขำหรือเศร้าดีนะครับ เพราะมันคือเรื่องจริง หลัง เกษียณคุณจะไม่มีรายได้อีกแล้ว มีแต่รายจ่าย แต่คุณก็ไม่รู้ว่าคุณจะตายเมื่อไหร่ ถ้ารู้ว่าอีก 500 วันเราจะตาย แบบนี้เราคงเอาเงินที่มีทั้งหมด มาหารด้วย 500 แล้วใช้มันเท่าๆ กันทุกวัน แต่ความจริงก็คือเราไม่รู้นี่ครับว่าเราจะตาย เมื่อไหร่ เลยไม่กล้ายืมเงิน

 

บางคนคิดว่า ถ้าอย่างนั้นทำธุรกิจส่วนตัวดีกว่า จะได้ไม่ต้องกลัวรายได้หยุดหลังเกษียณ ถ้าคุณเลือกทางนี้มันก็ถูกครับที่รายได้ของคุณจะไม่หยุด ถึงแม้จะอายุ 60 ปีแล้วแต่ข้อแม้ก็คือ คุณก็ยังคงต้องทำงานไปตลอดชีวิต! สรุปแย่พอกัน ทางออกเรื่องนี้มีทางเดียวครับคือ คุณต้องมี Passive Income (หรือ FF)

 

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ "เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร ฉบับพนักงานประจำ" สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://www.stock2morrow.com/publishing/bookdetail.php?id=147

 

 

 


คูณพอล ภัทรพล เรียนจบ MBA ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งยังจบด้านอสังหาริมทรัพย์ กับ RE-CU (Real Estate Chulalongkorn University) ควบคู่ไปด้วย

ในด้านการทํางาน พอลถือเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เป็น Triple Threat ของวงการบันเทิง คือ ทําครบ 3 อย่าง ทั้งนักแสดง พิธีกร และนักร้อง

พอลรับรางวัลมามากมาย อาทิ รางวัลศิลปินธรรมทูตทูตดาราเพื่อ คุณธรรม และรางวัลผู้ดําเนินรายการประเภททีมดีเด่น จากรายการ วีไอพี จากรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 24 พ.ศ. 2552 อีกด้วย

ในด้านธุรกิจ พอลมียอดธุรกิจเกินพันล้านบาทต่อปี และเกษียน จากงานได้ตั้งแต่อายุ 35 ปี หลังเกษียณพอลทํา Action For Passion และ ลงทุนใน Start Up ในฐานะ Angel investor เขียนและสอนวิธีเกษียณเร็ว ฯลฯ

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง