ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นไทยที่อยู่กับข่าวร้ายมายาวนานกดดัชนีหุ้นจากระดับ 1750 จุด เหลือเพียง 1600 จุด ภายในไม่กี่สัปดาห์ ท่ามกลางปัจจัยภายนอกรุมเร้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้าที่ทำหุ้นปั่นป่วนไปทั่วโลก ปัญหาการประท้วงในฮ่องกงที่ทำให้ "บรรยากาศ" การลงทุนในเอเชียไปทางลบ และเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ดูเหมือนจะมีปัญหา
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่น่าจับตาเกี่ยวกับประเด็นกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้ มีอะไรบ้าง และเราจะลงทุนอย่างไร มาดูกันครับ
การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ใช้งบมากถึง 3.16 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลคาดหวังให้ GDP โต 3% เน้นหวังผล 3 ด้าน คือ
1. ช่วยเหลือชาวเกษตรกรที่กำลังเจอกับภัยแล้ง
2. กระตุ้นการท่องเที่ยวและการลงทุน
3. ดูแลค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อย
จาก 3 ด้าน เราสามารถแบ่งย่อยออกเป็น 6 ส่วน คือ
1. ช่วยเหลือเกษตรกร -- ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ปล่อยสินเชื่อใหม่ และโครงการพักชำระหนี้
2. กระตุ้นการท่องเที่ยว -- แจกเงิน 1,000 บาท และนำค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวมารับเงินคืนได้ 15% ไม่เกิน 4,500 บาท เช่น สินค้าท้องถิ่น ค่าอาหาร ค่าที่พัก สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท และที่สำคัญคือยกเว้นวีซ่าให้คนจีนและอินเดีย
3. กระตุ้นการลงทุน -- นำค่าซื้อเครื่องจักรเพื่อการลงทุนมาหักภาษีได้ 1.5 เท่าภายใน 5 ปี
4. ช่วยเหลือ SME ผ่านสินเชื้อผ่อนปรน วงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท
5. สนับสนุนการปล่อยสินเชื่อบ้านผ่าน ธอส.
6. ดูแลค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อย ให้เงินผู้มีรายได้น้อยเพิ่ม 1,000 บาท คนแก่เพิ่ม 1,000 บาท ดูแลเด็ก 600 บาท โดยได้รับในเดือน ส.ค.-ก.ย. ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
บล. หยวนต้า วิเคราะห์ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้มีมูลค่าสูง ช่วยจำกัด Downside ให้กับ SET Index เพิ่มบรรยากาศการลงทุนให้เป็นบวกมากขึ้น ถ้าทำได้ตามเป้าจริงๆ SET ไม่ควรต่ำกว่า 1,580 จุด ซึ่งมาตรการส่วนใหญ่เน้นกระตุ้นกำลังซื้อและภาคท่องเที่ยวที่กำลังอ่อนแอ หุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์คือ ค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรมโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่จะกลับมาในครึ่งปีหลัง หุ้นเด่นได้แก่ CPALL BJC ZEN TACC AOT ERW และ AAV โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมและสายการบินที่ Underperform ตลาดมาตั้งแต่ต้นปี มีโอกาสฟื้นตัวได้แรงและเร็วเพราะถูก Cover Short
บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองเป็นผลบวกต่อ SET และมีโอกาสขึ้นทดสอบบริเวณ 1645 จุด บรรยากาศของตลาดเริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังต้องรอดูว่าจะอนุมัติการกระตุ้นวงเงิน 3.16 แสนล้านบาทหรือไม่ แนะนำนักลงทุนเน้นเล่นหุ้นในกลุ่ม Domestic Defensive และปันผลสูง อย่าลืมขายทำกำไรบ้างถ้าหุ้นมีการรีบาวด์
บล.คิงส์ฟอร์ด แนะ SET มีบรรยากาศเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ CPALL BJc NER STA GGC AOT ERW และ MINT
บล.กรุงศรี มองกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้กลุ่มที่ได้รับอานิสงค์โดยตรง คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, ROBINS, HMPRO และ GLOBAL) และกลุ่มโรงแรม-ท่องเที่ยว (CENTEL, ERW, MINT และ AOT) ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อม คือธนาคารและไฟแนนซ์ (คาดหวัง GDP ฟื้นตัว และ ประชาชนและผู้ประกอบการมีเงินหมุนช่วยลดปัญหาหนี้ NPLs)
การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ ถือว่าน่าสนใจและมูลค่าของเม็ดเงินที่สูงโดยภาครัฐตั้งเป้าว่า GDP ของประเทศจะต้องโต 3% หลังจากที่เศรษฐกิจไทยซบเซาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามด้วยว่าโครงการนี้จะผ่านหรือไม่ และความกังวลภายนอกประเทศที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สงครามการค้า ประเด็นการเมืองของฮ่องกง
นักลงทุนอาจจะต้องเลิกสนใจราคาหุ้นชั่วคราว มาสนใจปันผลให้มากขึ้น ครับ
------------------------------
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/844124
https://www.thunhoon.com/207318/06/11/
https://www.hoonsmart.com/archives/70211
https://www.krungsrisecurities.com/researchcontent/1/1/?id=9327