คุณต้อ กฤษนัย จันทวงษ์ศรี
นักวิเคราะห์ ส่วนพัฒนาธุรกิจและบริหารการตลาดต่างประเทศ
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน
สวัสดีเพื่อนๆนักอ่าน และนักลงทุนทุกท่านค่ะ กลับมาพบกับอีกครั้งกับ โปรเจกต์ดีๆ ที่เราพวกเราชาว stock2morrow ตั้งใจทำขึ้น เพราะเราเชื่อว่า #ทุกอาชีพสามารถลงทุนได้ กับโปรเจกต์ My Way My Investment ครั้งนี้เป็น EP.20 แล้วนะคะ เดินทางกันมาก็หลายอาชีพแล้ว ในบทสัมภาษณ์ครั้งนี้เรามาพร้อมกับอาชีพ “นักวิเคราะห์” จากบริษัทบางจาก เอ้า! หุ้นตัวดัง BCP เชื่อว่าต้องมีเพื่อนๆหลายคน มีเจ้าหุ้นตัวนี้อยู่ในพอร์ต
“ผมเป็นคนไม่เรียนไม่เก่งครับ” เป็นหนึ่งในประโยคที่คุณต้อ กฤษนัย จันทวงษ์ศรี บอกกับพวกเรา และประโยคถัดมา “วินัยและความอดทนเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมพอจะสู้กับคนอื่นๆได้” เชื่อว่าบทสัมภาษณ์ครั้งนี้จะเข้าไปจับใจ เด็กหลังห้อง รังท้ายหลายๆคน และถ้าเพื่อนๆเป็นอีกคน ที่เป็น เด็กเรียนไม่เก่ง และตอนนี้กำลังท้อ มีปัญหา และหาทางออกไม่ได้ เชื่อว่าบทสัมภาษณ์ในครั้งนี้ของคุณต้อ จะช่วยเพื่อนๆได้ ทั้งในเรื่องการลงทุน และการใช้ชีวิต แน่นอนว่า หลังจากเพื่อนๆอ่านบทความนี้จบ คำบอกเล่าและทัศนคติในตัวคุณต้อที่ส่งผ่านมาจากตัวหนังสือในบทความนี้สะกิดใจใครได้หลายคนๆ ได้มากที่เดียว.. เราไปเริ่มบทสัมภาษณ์กันเลยค่ะ
แนะนำตัวหน่อยค่ะ ตอนนี้ทำอาชีพอะไรอยู่คะ?
ต้อ กฤษนัย จันทวงษ์ศรีครับ ตอนนี้ทำงานอยู่ที่บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชนครับ ทำงานที่นี่มาปีนี้เป็นปีที่ 8 แล้วครับ น่าจะย่างเข้าปีที่ 9 แล้ว เป็นมาหลายตำแหน่งเลยครับ เริ่มจากนักการตลาดและเซลล์ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนจาก Marketing มาเป็นนักวางแผนพลังงานทดแทน Planner แล้วก็มาเป็นวิศวกรโครงการ ซึ่งต้องทำงานข้างนอกอยู่ช่วงนึงเลย หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อประมาณ 2 ปี ตอนนี้ก็เพิ่งกลับมาทำงานที่บางจากประมาณ 8 เดือนครับ อยู่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจการตลาดต่างประเทศเป็นนักวิเคราะห์ พื้นหลังเดิมเป็นวิศวกรมาก่อน 2 ปีที่ไปเรียนมาจะเป็นด้าน MBA เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและเมเนจเม้นท์อยู่ในส่วนงานพัฒนาธุรกิจ วิเคราะห์ธุรกิจ มองดูว่าบริษัทเราจะสามารถขยายไปได้ในทิศทางใดบ้างทั้งในไทยและต่างประเทศ เหมือนว่ามองหาโอกาสในอนาคต
คุณต้อเริ่มลงทุน หรือเริ่มรู้จักการลงทุนตั้งแต่ตอนไหนคะ?
เริ่มสนใจการลงทุนตั้งแต่ช่วงเด็กๆแล้วครับ แต่มาได้ลงทุนจริงๆช่วงปริญญาตรีต่อปริญญาโทช่วงปี 52 ที่บอกว่า สนใจตลาดหุ้นมาตั้งนานแล้ว ต้องท้าวความก่อนว่าเราเป็นเด็กต่างจังหวัด เวลาเห็นคนแถวบ้านดูโทรทัศน์ช่อง 9 ช่อง 11 มันจะมีตัวเลขแดงๆเขียวๆวิ่งข้างล่าง แต่ตอนนั้นเราก็อยากดูการ์ตูน ดูละคร ดูกีฬาสารคดี ก็งงว่าตัวเลขวิ่งๆมันคืออะไรที่ต้องมาปิดหน้าจอ เราก็เกิดคำถามนี้ตั้งแต่ประถม มัธยม แล้วที่ต่างจังหวัดเขาจะมีที่เรียกว่าหวยหุ้นซึ่งมันจะปิดช่วงเช้า 1 รอบ และช่วงเย็น 1 รอบ 1 วันก็จะมี 2 รอบ ก็เกิดคำถามว่าทำไมหวยกับหุ้นมันถึงไปด้วยกันได้
เราอยากรู้เพราะเห็นว่าข่าวจะสรุปทุกเย็น เป็นคำถามที่ติดในใจมาตั้งแต่เด็กๆแล้วเรามักจะได้ยินคำว่าคนจนเล่นหวยคนรวยเล่นหุ้นแล้วก็เกิดคำถามว่าทำไมหวยหุ้นมันถึงไปด้วยกันได้ เราเป็นคนรวยหรือคนจนกันแน่ เป็นที่มาที่ทำให้อยากรู้จักตลาดหุ้นมากขึ้นครับ
ช่วงมัธยมปลาย จะมีช่วงนึงที่มีบูธ “ห้องสมุดมารวย” ที่มีหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาจัดบูธ จริงๆ บูธน่านั่งมากเลยนะ แต่ก็ไม่เห็นมีคนไปอ่านไปใช้เลย เราเบื่อที่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานซ์ก็เลยเหมือนไปนั่งรอเพื่อนที่ห้องสมุดมารวย เห็นว่ามีหนังสือน่าอ่านก็ลองหยิบมาอ่านระหว่างรอเพื่อน รู้สึกว่า เฮ้ยมันดีแฮะ!ทั้งห้องสมุดมีเราคนเดียวเลยพอเริ่มหยิบมาอ่านก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นเริ่มรู้จักคำว่าหุ้นมากขึ้นแต่ก็ผิวเผินมากรู้แค่ว่าหุ้นเป็นเรื่องของคนรวย คนมีเงิน คนทำงาน ที่เขามีตังค์เยอะๆแต่เราเพิ่งเริ่มทำงาน หาเช้ากินค่ำ ยังเรียนอยู่ด้วย เราก็แค่หาเงินและไปฝากธนาคารแค่นั้น
เท่ากลับว่าเริ่มต้นการลงทุนด้วยตัวเองใช่ไหมคะ?
ก็ประมาณนั้นครับ เราเริ่มจากอ่านหนังสือจากห้องสมุดมารวย แล้วก็ศึกษาด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก ก็เริ่มต่อจุดไปเรื่อยๆ อยากรู้ก็อ่านมากขึ้นเรื่อยๆไปห้องสมุดนอกจากอ่าน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ที่ต้องเตรียมสอบแล้วก็เริ่มหาหนังสือลงทุนด้วย ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีคนอ่านเท่าไหร่ ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ บ้างหรือปีเตอร์วิธบ้าง หรือถ้าของไทยก็จะเป็นของอาจารย์นิเวศน์ ซึ่งข้างหลังของหนังสือในห้องสมุด สำหรับยืมก็จะเห็นว่ามันไม่ค่อยมีคนยืมหนังสือเหล่านี้เลยนะเพราะไม่มีตัวบุ๊คแสตมป์ พอมันไม่มีคนต่อทำให้เราได้ยืมไปเรื่อยๆ เป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มลงทุน ช่วงที่เข้าสนามจริงๆคือประมาณปี 4 ต่อปริญญาโทอายุ 20 ใหม่ๆ 22 23
ตอนนั้นแนวการลงทุนของเราเป็นยังไงคะ? อย่างบางคนรายย่อยก็จะเน้นเก็งกำไรของตัวเราเองเป็นแบบไหนคะ?
ย้อนหลังตอนนั้นด้วยหนังสือที่เราอ่าน ต้นแบบที่เราอ่านคือของอาจารย์นิเวศน์ เหมวชิรวรากรและของ Warren Buffett ซึ่งเราก็เลยไม่ได้มองเรื่องของการลงทุนแบบแบบเก็งกำไรเท่าไหร่นัก จะเป็นแนวเล่นพื้นฐานมากกว่า
แต่ด้วยความมือใหม่ เด็กวัยรุ่นได้เงินจากแต๊ะเอีย ทำงานสอนพิเศษเก็บเงินค่าขนม มันไม่ได้เยอะขนาดนั้น พอลงทุนไปแล้วเห็นว่ามันขึ้น 3% 5% 7%ใจก็ไปเริ่มสั่นอยากขาย เพราะเราอยากได้เงิน มองแบบเด็กมองได้ 500 1,000 2,000 บาทก็รู้สึกว่าเยอะมากแล้ว 500 1,000 สมัย 10 ปีที่แล้ว คือค่าขนมเป็นสัปดาห์แล้วนะครับตอนนั้น แต่แก่นของการลงทุนที่เราได้อ่านหนังสือมามันก็ยังอยู่ซึ่งมันก็คือ Value investor ที่เราชอบนั่นแหละ
หมายความว่าตอนนี้เป็น Value investor แต่เมื่อก่อนก็มีเล่น Technical บ้างใช่ไหมคะ?
เหมือนเป็นการลองมากกว่าสักระยะหนึ่งเพราะด้วยความโลภของตัวเราเอง แต่ตอนนี้ก็เน้นสะสมไปเรื่อยๆเป็น Value investor เต็มตัว เรื่อง Technical ก็รู้จัก งูๆปลาๆ ไม่ได้เอามาใช้เยอะขนาดนั้น โดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่ว่าจะ Technical หรือ Value investor จุดหมายปลายทางก็เหมือนกัน มีสุภาษิตจีนเคยพูดว่า ไม่ว่าเราจะเดินขึ้นภูเขาสูงด้วยวิธีไหนเมื่อเราถึงยอดเขา วิวที่เราเห็นมันคือวิวที่งดงามเหมือนกัน เราเลยเชื่อว่า ไม่ว่าคุณจะเชื่อ Value Investor มีวอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นไอดอลหรือเป็นสาย Technical ก็ตามคุณจะประสบความสำเร็จเหมือนกัน แต่ถ้าส่วนตัวที่ชอบคือเป็น Value investor ครับ
ตอนนั้นรู้ตัวเองได้อย่างไรว่าชอบเดินทางแบบนี้ เพราะเริ่มจากการอ่านหนังสือของ ดร.นิเวศน์ เลยใช่มั้ยคะ
ผมว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งครับ อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของเราด้วย เราเป็นคนชิวๆ เราอดทนเก่ง แต่เราไม่ใช่คนเก่งเรารู้ตัวเองมาตลอดว่า “เราไม่ใช่คนเก่งนะ” เลยมองว่าสิ่งที่จะชนะได้ ในตัวเราคือความอดทนที่เรามี การที่ทำอะไรสั้นๆเล็กๆน้อยๆ แต่ทำด้วยวินัยและพื้นฐานตัวเองเป็นแบบนี้ ซึ่งมันมีวิธีการที่เรียกว่า Value investor อยู่จริง ทำให้เราไม่ต้องรีบ Take profit อย่างปีละ 10% เรากลัวว่าเราจะทำไม่ได้ แต่ถ้าปีละ 2% แล้วค่อยสะสมไปเราว่าเราทนไหว เคยเจอบทความนึงบอกว่าคนส่วนใหญ่จะไม่สนใจเรื่องเวลา แต่จะสนใจกำไรมีเงินต้นเยอะก็ลงทุนได้ผลตอบแทนเยอะก็จะ success แต่พอเราได้อ่านหนังสือและพบปะเจอวิทยากร ครูบาอาจารย์ในวงการ เรากลับรู้สึกว่า มิติที่สำคัญที่สุดอีกมิติหนึ่งที่คนไม่สนใจคือมิติของเวลา เพราะทุกคนมองว่าเวลาเป็นของฟรี ทุกคนเกิดมามีเวลาเหมือนกัน พอได้มาฟรีก็เลยไม่ค่อยสนใจ แต่เราไปตกผลึกเองว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรไม่ว่าจะทำงาน เล่นกีฬา หรือลงทุนในช่วงแรกมันอาจจะต้องเดินเตาะแตะ เพื่อสะสมพลังงานบางอย่าง แต่พอเวลามันนานขึ้น 30 40 ปีด้วยเงินไม่กี่บาท 2,000 5,000 แต่ปลายทาง 40-50 ปีมันจะไปถึงได้เหมือนกัน จริตเราเป็นแบบนั้น ไม่ชอบกดดันตัวเอง ไม่ต้องหาเงินเยอะๆก็มีความสุขไปด้วย ทำงานประจำไปด้วย ทำงานอดิเรกไปด้วย ก็ค่อยๆทำไปครับ Timing ของเวลาสักวันมันก็คงมาบรรจบกัน ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงก็รอดูอยู่เหมือนกันครับตอน 50 60 ปีก็ค่อยมาพิสูจน์ ทฤษฎีที่เราตั้งไว้
หมายความว่าคนที่ลงทุน vi ต้องเป็นคนที่มีจิตใจที่แข็งแกร่งใช่ไหมคะ? เพราะบางคนพอเข้าไปดูหุ้นก็เห็นว่ามันแกว่งขึ้นๆลงๆ บางคนก็ทนไม่ได้ แบบนี้ต้องแก้ยังไง?
ใช่ครับ เข้มแข็งหน่อย (หัวเราะ) ผมมองว่าถ้าเราไม่เก่ง เงินเราไม่เยอะเราก็ต้องมีความอดทนให้มาก ความอดทนกับเรื่องวินัยการทำอะไรกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ลงทุนระยะยาวผมว่ามันก็ไม่ง่ายเหมือนกัน แต่เราทำได้ จุดนี้แหละซึ่งเราคิดว่าเราอาจจะชนะคนที่เรียนเก่งอ่าน Technical ก็คือความอดทน ผมมองว่ามันไปได้เหมือนกัน ที่สำคัญเลยคือวินัยครับ อดทนและรอคอยให้ได้ เหมือนที่วอร์เรน บัฟเฟตต์และดร.นิเวศน์พูด เล่นหุ้นให้เหมือนลงทุนกิจการไม่ว่าเราจะเล่น 5 บาท 10 บาทหรือถืออยู่ 100 หุ้นความรู้สึกก็ต้องเหมือนกัน เพราะเราเป็นเจ้าของบริษัทแล้ว หมายความว่าไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ถ้าคุณรู้สึกเหมือนกันว่าคุณเป็นเจ้าของบริษัท คุณก็จะไม่ได้อยากซื้อหรือขายมันในตอนนั้นเลยมันจะมีห่วงจังหวะให้ได้คิด ได้ไตร่ตรอง
จริงๆแล้วผมทำงานยุ่ง ผมแทบจะไม่รู้เลยว่าตลอดวันตลาดเป็นยังไง จะมารู้อีกทีก็ช่วงเย็น ที่มีคนพูดวันนี้ตลาดขึ้นแรงนะ หุ้นตัวนี้ขึ้นแรงนะ มีอะไรหรือเปล่า? ดูจากคนรอบข้างโดยที่เราไม่ได้มอนิเตอร์เอง เราก็จะไม่ค่อยรู้ แล้วอีกอย่างก็คือตอนนี้เราเน้นมองไปที่ทางปลายทาง ตอนนี้มีเงินจากงานประจำเป็นหลัก หุ้นเป็นงานอดิเรก ถ้ามันลงเราจะมีเงินจากการทำงานเพื่อไปเติมพอร์ตได้ แต่ถ้ามันขึ้นก็รู้สึกว่าเออมันก็ดีถ้า Business Model มันยังไม่เปลี่ยน ตลาดยังไม่เปลี่ยน ผมก็มองว่ามันยังไปได้ สไตล์แบบ คิดว่าเราได้เป็นเจ้าของโรงพยาบาล เป็นเจ้าของธุรกิจมันด้วย
ผมมองการลงทุนเหมือนการทำงานนะ ถ้าเรารักมันเหมือนบ้านที่เราอยู่ เหมือนองค์กรที่เราทำ มันจะให้ความรู้สึกที่ว่าเราเป็นเจ้าของหุ้นนั้น เราเป็นสมาชิกของบ้านหลังนั้น ไม่ว่ามันจะมีจุดอ่อน จุดแข็ง หรืออนาคตมันจะเป็นอย่างไรเราก็อยากจะมองดูเหมือนเดิมเติบโตไปเรื่อยๆ แล้วถึงจะเลือกได้ว่าเราควรจะขาย หรือเลือกถือมันต่อไป
แบบนี้ตั้งแต่ลงทุนมาเคยเจอประสบการณ์ที่ผิดพลาดบ้างหรือยังคะ?
เยอะมากครับ มีทั้งที่ลงทุนเองไปแล้ว และมองดูเฉยๆตามทฤษฎีที่เราอ่าน เราเรียนมา แต่มันไม่ตรง ยกตัวอย่างล่าสุดเมื่อ 2 3 ปีก่อนที่เป็นตัวน้ำมันดิบขึ้นไป 90 เหรียญต่อบาร์เรลและลงมาแรงเหลือ 20 เหรียญ 30 เหรียญ กลุ่มเจาะสำรวจเคมีพวกนี้ก็ได้รับผลกระทบทั่วหน้า อาจจะเป็นเพราะผมอยู่กับพวกอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมด้วย ก็เลยทราบเรื่องก็เลยเข้าใจไอเดียพวกนี้นิดหน่อย พอมันขึ้นไปแรงและลงมาเร็ว ผลกระทบกับตัวหุ้นก็เลยมีมาก ยกตัวอย่างมีหุ้นตัวนึงผมเข้าซื้อตอน 90 บาท ถือไว้ในมืออยู่แล้ว แล้วมันขึ้นไปแล้วมันขึ้นไป 115 120 บาท ก็เออดีใจได้กำไร 20 30 เปอร์เซ็นต์ จดใส่กระดาษไว้ว่ามันได้ตาม valuation ที่เราวางไว้ แต่พอไม่เท่าไหร่ มันก็ตกลงมาอีกลงมาที่ 90 80 แล้วเราก็จำว่าแพทเทิร์นเนี้ย เดี๋ยวมันจะขึ้นไปอีก ก็เลยซื้อเพิ่มใส่ไปอีก แต่สุดท้ายมันไม่เพิ่มมันกลับลงมาด้วย กำไรจากครั้งที่ผ่านมามันกลับลงไปเรื่อยๆ ลงมาที่ 60 ใจก็ยังอยากได้ ก็ยังคิดว่าตัวเราเองเป็น Value investor ก็อยากเติมเข้าไปอีกก็ใส่เติมเข้าไป แต่ว่าไม่ได้เยอะแล้วเพราะว่าเหลือเงินไม่มาก ยิ่งใส่เข้าไปอีก ยิ่งลง จำได้ว่าลงมาถึง 30 หรือ 35 บาท มันเริ่มเห็นแล้วว่าคุณติดดอยอยู่ 80 90 บาท จะทำยังไง จะ cut loss ก็ไม่กล้า ได้แต่นั่งมองสุดท้าย ก็ได้แต่บอกตัวเองว่าเราเป็น Value investor นะ วันหนึ่งที่มันต่ำกว่ามูลค่าเดี๋ยวมันก็คงสะท้อนกลับ ซึ่งวันนี้มันก็สะท้อนจริงๆครับ ก็กลับขึ้นมา 300-400 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลาแค่ 3-4 ปี ตรงนี้ก็เป็นความผิดพลาดที่เหมือนเราไม่กล้าที่จะเข้าไปรับในช่วงนั้น
ใจนิ่งมากเลยค่ะ ตอนนั้นคือเหมือนเงินลงทุนทั้งหมด ใส่ลงไปเลยนะ ทำยังไง?
ก็มีนอนไม่หลับไป 3 4 วันครับช่วงนั้น (หัวเราะ) อยากให้มองว่า เหมือนคำพูดที่วอร์เรนบัฟเฟตต์ เขาพูดว่า เขากินชอบกินแฮมเบอร์เกอร์กับโค้กในราคา 2 เหรียญทุกวัน แล้วถ้าวันนึงแฮมเบอร์เกอร์มันลดราคามาเหลือ 1 เหรียญหรือ 50 เซนต์ มันมีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ซื้อเพราะปกติเขาก็ซื้ออยู่แล้ว ทุกวันในราคา 2 เหรียญ เพราะเขาต้องทานอยู่แล้ว ที่ผมจะเปรียบเทียบก็คือ เหมือนเรามีหุ้นตัวที่ชอบอยู่ในใจถ้า Business Model ในภาพใหญ่ของธุรกิจนั้นๆยังไม่ได้เปลี่ยน มันยังไปได้อยู่ มันอาจจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจรอบใหญ่ที่อาจจะไม่เกี่ยวข้อง เหมือนแฮมเบอร์เกอร์ที่ช่วงนั้นอาจจะเซลล์ คนกินน้อยลงก็เลยเหลือ 1 เหรียญหรือ 50 cm ถ้าเราชอบแฮมเบอร์เกอร์อยู่แล้วเราก็ต้องใจแข็งที่จะเลือกกินมันเหมือนเดิมอย่างที่เราเชื่อ แม้ว่ามันจะลงอีกก็ตามนะครับ (หัวเราะ)
มีคำแนะนำสําหรับมือใหม่หัดลงทุนมั้ยคะ หรือแนวทางสำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาในวงการ เคล็ดลับในแบบของคุณต้อ
หลักๆก็มี 3 ข้อเลยที่ผมยึดถือประจำ คือ...
- เราควรมองหุ้น เป็นการลงทุน คือเป็นเจ้าของกิจการและมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น
- คือเข้าใจธุรกิจนั้นๆให้ดีพอ อย่างเช่นตัวผมเข้าใจในธุรกิจปิโตรเลียม เข้าใจธุรกิจค้าปลีกเพราะทำงานในด้านนี้ ผมก็อาจจะมีความมั่นใจ ในการลงทุนกับธุรกิจประเภทนี้ มากกว่าตัวอื่น พยายามเลี่ยงในสินทรัพย์ที่จะลงทุนในสิ่งที่ผมไม่รู้หรือไม่ถนัด ที่สำคัญคือต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของกิจการนั้นในทุกครั้งที่ลงทุนเราต้องเข้าใจมันจริงๆ ว่าวิธีหารายได้ของเขาเป็นอย่างไร ขอเสริมอีกนิดหน่อยสำหรับมือใหม่ก่อนจะไปข้อ 3 นึกถึงตัวเองเมื่อ 10 ปีที่แล้วอันนี้ส่วนตัวเลย
- (ข้อแรก)ผมมองว่าการลงทุนควรทำคู่ขนานกับการทำงานประจำหรือจะเป็นเจ้าของธุรกิจ แม่บ้าน พี่วินมอเตอร์ไซค์ ผมมองว่ามันต้องทำควบคู่กันไปเหมือนเป็นช่องทางสะสมต้นทุน ในการที่เราจะนำไปต่อยอด
- (ข้อต่อมา) เมื่อเราสะสมทุนมากพอที่จะไปลงทุนเราต้องเลือกว่าจะไปลงทุนด้านไหน หุ้นหรือคอนโด บางคนอาจจะถนัดกว่า หรือซื้อที่ดินหรือ อยากฝากเงิน ผมมองว่างานประจำที่เราทำตั้งแต่แรกมันจะนำพาเราไปสู่ข้อ 2 ก็คือ เอาเงินที่เราสะสมมาสู่สิ่งที่ปัจจุบันเขาชอบเรียกกันว่า Passive Income หรืออิสรภาพทางการเงิน
3. สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “เรื่องวินัย” สำหรับผม ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่นำพาผมในทุกเรื่องทางการลงทุนในหุ้น และการทำงานด้วยเพราะผมไม่ใช่คนเก่ง ไม่ได้เกิดมามีพรสวรรค์เราไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะดี เป็นมนุษย์เงินเดือนปกติที่จบมาก็ทำงานหาเลี้ยงชีพ ไม่ได้มีกิจการ แต่สุดท้ายผมมองว่าวินัยคือสิ่งสำคัญที่เราจะทำได้หรือไม่ได้
เชื่อผมเถอะครับยืนหยัดในวินัยผมเคยลองคิดเล่นๆว่าถ้าเราเก็บเงินเดือนละ 5,000 บาทตั้งแต่เริ่มทำงานคืออายุ 20 จนถึงอายุ 60 ลงทุนในกองทุนหรือหุ้นที่เป็น blueshift ของเรา เราสามารถมีเงินเก็บได้ถึง 60 ล้านบาทเลยนะ 5,000 บาท สำหรับบางคนมันดูน้อยนะครับ แต่ระยะเวลาแต่ละปี เกิดจากวินัยนี้ล่ะครับ มันอาจจะดูนาน 40 ปี แต่เชื่อผมเถอะมันแป๊บเดียว จริงๆ คนอาจจะต้องคิดว่าต้องไปทำธุรกิจใช่ไหม ถึงจะมีเงิน 60 ล้าน ไม่ใช่นะครับก็ทำงานนี่แหละ แต่เก็บเงินไปด้วยและลงทุนไปด้วยเดือนละ 3,500 บาท 5,000 ผมอยากส่งแรงบันดาลใจนี้ ให้คนรุ่นใหม่แค่มีวินัยกับมัน
การลงทุนเราควรดูงบการเงินเพื่อการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมาและมองอนาคตประเมินคู่ขนานกันไปด้วยครับ การลงทุนในหุ้นเราควรมองไปข้างหน้า ดูเรื่องแผนธุรกิจ business model แต่คนส่วนใหญ่ชอบมองไปข้างหลัง ชอบดูอัตราส่วนราคาต่อกำไร และมูลค่าตามบัญชีย้อนหลัง การมองกระจกหลัง 3-5 ปีก่อน เป็นเรื่องที่ดี แต่เราอย่าลืมดูกระจกหน้าควบคู่ไปด้วย สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดเราต้องเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุน หากไม่รู้เรื่องอย่าเข้าไป เหมือนการขับรถก็ควรรู้ทางที่จะไป เวลาขับก็ต้องมองกระจกหลังเพื่อดูการเดินทางไปข้างหน้าคู่ขนานกันไป
ที่สำคัญสุดท้ายเลยผมอยากให้ทุกคนมีความสุขกับการลงทุน ทุกคนหาความรู้ได้เยอะมากอยู่แล้วทั้ง Facebook Social Media ต่างๆ Stock2morrow ก็เช่นกัน หรือหนังสือสัมมนา มันมีเยอะมาก แต่สิ่งที่สำคัญคือ อยู่กับการลงทุนอย่างไรกับมันให้มีความสุข คนลงทุนชอบกดดันตัวเอง เวลาหุ้นขึ้นหรือลง เวลาหุ้นขึ้น แค่ 1,000 ก็ไปกินบุฟเฟ่ หรือถ้าหุ้นลง ก็นอนไม่หลับไป 2-3 วัน สิ่งสำคัญเลยคือเราต้องมีความสุขกับมันนะครับ ถ้าเราทำอะไรก็ตามอยากให้ทุกคนคิดว่า การลงทุนเป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยยกระดับชีวิตให้กับตัวเรา
ลงทุนหุ้นกับลงทุนชีวิตผมว่ามันคล้ายกันทุกคนอยากจะไปถึงปลายทางที่มีความสุข หุ้นเองก็เหมือนกัน ผมอยากให้เพื่อนๆนักลงทุนไม่ต้องเริ่มจากคิดว่าเข้ามาในนี้แล้วมันจะรวย ทุกคนอยากรวยทุกคนอยากประสบความสำเร็จ แต่อยากให้คิดว่า ความสุขนั้นมันเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เราเข้ามาเริ่มรู้จักเริ่มลงทุนเริ่มศึกษา ผมคิดว่าการลงทุนการเหมือนกับการวิ่งมาราธอน 42.195 กม. ที่ต้องใช้เวลา ความอดทน มุมานะ ตั้งแต่ กม. ที่ 1-42 กม. ความสำเร็จของการวิ่งมาราธอนก็อาจจะไม่ใช่การได้จบ 42.195 กม หากแต่อาจจะเป็นการสำเร็จก้าวแรก ตั้งแต่เราเริ่มซ้อมเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันแรก หุ้นก็เช่นเดียวกันกับมาราธอน เวลาเท่านั้นจะบอก ความสุขมันอยู่ไม่ไกลเกิดขึ้นภายในนั้นแหละ ความสุข...คือสิ่งที่อยากให้ทุกคน
พบเจอระหว่างการลงทุน ตลอดมาราธอนของการลงทุน ด้วยความพอเพียงในแบบฉบับของตนเองครับ
ฝากสั้นๆถึงนักลงทุนทั่วๆไป
จริงๆผมมองว่า ผมเองก็เข้ามาในตลาดไม่นานประมาณ 10 ปี ผมว่าเครื่องไม้เครื่องมือในปัจจุบันมันมีมากขึ้นเรื่อยๆ สมัยก่อนที่เราเริ่ม ก็ต้องไปห้องสมุดเท่านั้น หรือว่าร้านหนังสือเพื่อที่จะซื้อหนังสืออะไรแบบนั้น แต่วันนี้ผมมองว่าช่องทางมันมากขึ้น ดูเพจ Facebook ของ Stock 2morrow เลยหรือว่าดูไลฟ์ต่างๆ ที่สำคัญคือ พอมันมีเยอะแล้วเราจะเลือกมาใช้ให้มันเหมาะกับตัวเราอย่างไรมันยากตรงที่ข้อมูลมันมีเยอะมากเราจะเลือกใช้ให้เหมาะให้ตรงกับจริตของเราอย่างไร
เต็มตัว อย่างที่บอกไปว่ามีช่วงที่ไปเรียนต่อมาตอนนั้นก็คือศึกษาเรื่องการเงินโดยตรงเลย เกี่ยวกับระบบการเงินบัญชีเกี่ยวกับงบการเงินก่อนหน้านี้ ทฤษฎีเราอาจจะยังไม่แน่นด้วยความที่อ่านหนังสือเอาก็ครูพักลักจำมาจากหนังสือแต่ละเล่มทั้งของด็อกเตอร์นิเวศและวอร์เรนบัฟเฟตต์ เรารู้แค่เอามาใช้แต่ยังไม่รู้จักแก่นของมันจริงๆห่อไปเรียนแล้วเป็นช่วงที่เคยทำงานมาแล้วด้วยก็เลยเหมือนเติมเต็มคำถามที่เคยค้างอยู่ในใจเราทำให้เราต่อยอดการลงทุนของตัวเองได้เยอะมากเลยทีเดียววิชาที่เรียนก็คือ Investment Banking และแวลูเอชั่นอนาไลซิสเพื่อต่อยอดการลงทุนโดยเฉพาะแต่ก็คือเกี่ยวข้องกับการทำงานในปัจจุบันด้วยนะครับส่วน