#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

ถ้า Google เป็นธนาคารเอง

โดย ดร. ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์
เผยแพร่:
106 views

เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อ 30 ปีก่อนโลกของเราไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “Google”

เหลือเชื่อ เพราะว่าทุกวันนี้ชีวิตคนเมืองในแทบทุกมุมโลกจะหนีไม่พ้นการใช้บริการของ Google หรือบริการในเครือบริษัท Alphabet

ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปไหนมาไหน (Google Maps)  การสื่อสาร (Gmail) การนัดหมาย (Google Calendar) การทำ cloud computing (Google Cloud) การท่องเว็บ (Chrome) การใช้ smart device (Android) การค้นหา (Google search) การเสพสิ่งบันเทิง (Youtube และ Google Play) และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายอย่างนับไม่ถ้วน ล้วนอยู่ในระบบนิเวศน์ของ Google ทั้งสิ้น

ในบทความนี้ผู้เขียนจึงอยากชวนผู้อ่านมานึกกันว่า หากวันหนึ่ง Google คิดจะเป็นธนาคารดิจิทัล เขาจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน และจะมีจุดเด่นอยู่ที่ไหน

Google รู้อะไรมากกว่าที่ธนาคารคิด

ปัจจัยความสำเร็จอันดับหนึ่งในโลกฟินเทค คือข้อมูลและประสิทธิภาพในการแปลงข้อมูลนั้นมาเป็นบริการธนาคารที่ดีกว่าคู่แข่ง

ข้อมูลสามารถสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำกว่า ค่าบริการที่ต่ำกว่า บัตรเครดิตที่มีข้อเสนอที่ดีกว่า หรือการให้สินเชื่อที่ง่ายกว่า ไปจนถึงประสบการณ์ที่ดีกว่า (ไม่ต้องรอคิว แอพพลิเคชั่นสวยงาม call center มีคุณภาพ)

ธนาคารทั่วไปเอง ใช่ว่าจะไม่มีข้อมูล กลุ่มธนาคารมีข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ รายจ่าย เครดิต และพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ลึกที่สุด

แต่ Google มีข้อมูลบางส่วนที่ธนาคารมี และบวกกับเขาทราบด้วยว่า คุณเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร และกำลังจะทำอะไร 

หนึ่งคือ Google มีข้อมูลเชิงธุรกรรมมากกว่าที่คนทั่วไปคิด แน่นอน Google ไม่มีข้อมูลเป็นรายธุรกรรมแบบชัดๆ (เนื่องจากไม่ได้เป็นธนาคารเป็นเรื่องเป็นราวหรือมีบัญชีให้เปิด) แต่ในระยะหลังใบเสร็จเริ่มเข้ามาใน Gmail ได้ ไม่ใช่แค่การซื้อของออนไลน์เท่านั้น นับวันจะมีการซื้อของออฟไลน์ด้วยเครื่อง POS ที่เชื่อมกับอีเมล์มากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งเราก็ทราบกันดีอยู่ว่า Google ทำการวิเคราะห์ข้อมูลใน Gmail เพื่อทำให้บริการดีขึ้น เช่นการทำฟีเจอร์ auto-reply นั่นแปลว่าการจัดเก็บข้อมูลที่สะท้อนการใช้จ่ายของเราถือว่าเป็นเรื่องที่ในเชิงเทคนิคแล้วทำง่ายกว่ามาก

พฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่ได้เข้ามาสู่ Gmail ก็มีการซุบซิบกันว่า Google อาจมี “ดีลลับ” กับ mastercard (https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-08-30/google-and-mastercard-cut-a-secret-ad-deal-to-track-retail-sales) เพื่อทำสะพานเชื่อมต่อระหว่างโฆษณาในโลกอินเตอร์เน็ตกับการใช้จ่ายบนโลกออฟไลน์ผ่านการรูดบัตร  ทราบตั้งแต่เราคลิกโฆษณา ไปถึงตอนที่เรารูดบัตรในร้านออฟไลน์

และเผลอๆ ในส่วนของข้อมูลเชิงธุรกรรม Google อาจจะมีมากกว่าธนาคารใดธนาคารหนึ่ง เพราะธนาคารใดธนาคารหนึ่งไม่สามารถรู้ถึงพฤติกรรมลูกค้าในอีกธนาคารหนึ่งได้ แต่ลูกค้าแทบทุกธนาคารเป็นลูกค้า Google กันเกือบทั้งหมดสิ้น

สองคือ Google ทราบแทบจะทุกอย่างเกี่ยวกับคนๆ หนึ่ง  ข้อมูลทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาชีพ เพศ อายุ ความสนใจ บ้านอยู่ที่ไหน ไปทำงานที่ไหน เดินทางยังไง ไปเที่ยวบ่อยไหม สินค้าและบริการที่เคยซื้อ สามารถนำมาทำคะแนนเครดิตทางเลือกได้ไม่ยากนัก ด้วยขนาด ปริมาณ และความหลากหลายของข้อมูลในคลังทั้งหมด เป็นไปได้ว่าคะแนนเครดิตของ Google น่าจะมีความแม่นยำมากกว่าของหลายธนาคารก็เป็นได้

ถ้า Google เป็นธนาคารเอง

บริการทางการเงินของ Google ที่เป็นไปได้

หาก Google ต้องการเป็นธนาคารเอง (และ regulators ยินยอม) จะมีบริการจำนวนไม่น้อยเลยที่ Google สามารถทำได้ดีหรือดีกว่าสิ่งที่ลูกค้าได้จากธนาคารทั่วไป

อันดับแรกคือการปล่อยสินเชื่อด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำลงแต่มี terms ที่ดีขึ้น เนื่องด้วยปริมาณข้อมูลที่มากพอที่จะทำให้คะแนนเครดิตมีความแม่นยำสูง และเนื่องด้วย “ฐานลูกค้า” ที่มีมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก (ถ้านับแค่ผู้ใช้ Gmail) เรียกว่า Google ได้เปรียบทั้งการทำคะแนนและการค้นหา leads (ซึ่งปกติ Google ก็ทำให้กับเครดิตการ์ดและธนาคารอื่นๆ อยู่แล้ว)

และในบางกรณีอาจไม่จำเป็นต้องคิดดอกเบี้ยด้วยซ้ำ เนื่องจาก Google ยังมีวิธีในการสร้างรายได้จากช่องทางอื่นๆ อีกเต็มไปหมด  อาจมาในรูปแบบเป็นเงินยืม หรือเป็น trade credit ให้กับพาร์ทเนอร์ retail รายอื่นๆ ที่ปกติก็ทำธุรกิจและสร้างรายได้ให้กับ Google ผ่านบริการโฆษณาอยู่แล้วก็เป็นได้

อันดับที่สองคือการ personalize ข้อเสนอและผลตอบแทนบนผลิตภัณฑ์การเงิน  ผู้เขียนคิดว่านี่เป็นจุดที่โดดเด่นที่สุดสำหรับ Google เนื่องจาก Google ทราบแทบทุกอย่างเกี่ยวกับคนหนึ่งคน ว่าใครชอบอะไร เคยไปที่ไหน และกำลังจะอยากได้อะไร 

หาก Google จะทำข้อเสนอบัตรเครดิตขึ้นมาใหม่ มันอาจมาเป็นแบบที่ personalized และ dynamic มากๆ ที่แตกต่างสำหรับแต่ละคนและแต่ละช่วงเวลา เช่น คนนี้ชอบเล่นกอล์ฟ ก็อาจจะมี cashback พิเศษกับการไปออกรอบ หรือ คนนี้เพิ่งมีลูก ก็จะมี cashback พิเศษในแผนกเด็กทุกห้าง และวันหนึ่งข้อเสนอเหล่านี้จะเปลี่ยนไปตามความเป็นตัวเรา

ไม่ใช่ว่ามีข้อเสนอแค่ “30 บาท = 1 คะแนน” หรือ “cashback 1% ทุกรายจ่าย” แล้วมีการ redeem คะแนนแบบแสนงง  ร้ายกว่านั้น มันอาจเป็นไปได้ที่ว่า Google จะทราบ category ของรางวัลที่เราน่าจะชอบและอนุมัติบัตรนั้น ก่อนเรากรอกใบสมัครหรือก่อนเราคิดจะสนใจบัตรเครดิตใบนั้นเสียอีก

เรียกได้ว่าเราอาจจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ hyper personalized สุดๆ ก็เป็นได้

นี่เป็นเพียงความคิดเล็กๆ ของผู้เขียนเกี่ยวกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่วันหนึ่งอาจจะเข้ามาเป็นผู้เล่นหลักในระบบการเงินโลก แล้วผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไรกับอนาคตที่ Google อาจจะมาเป็นธนาคารให้กับพวกเรา?


ผู้เขียนเป็นเจ้าของเว็บไซต์ settakid.com ที่วิเคราะห์ประเด็นเปลี่ยนโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์แบบเข้าใจง่ายๆ  คุณ ณภัทร จบปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลและจอนส์ ฮอปกินส์ เคยมีประสบการณ์ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดและธนาคารโลก และสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซต้า เป็นนักเขียนรับเชิญของ stock2morrow และเป็นคอลัมนิสต์ประจำสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง