การลงทุนแนวเน้นการเติบโต เป็นการต่อยอดแขนงหนึ่งของแนววิเคราะห์หุ้นพื้นฐาน (Fundamental) หลักการ คัดเลือกหุ้นมีความคล้ายคลึงกันกับแนววีไอ โดยที่แนววีไอเน้นหุ้นที่ราคาปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ (Undervalue) ในขณะที่แนวเน้นการเติบโตจะเลือกลงทุนหุ้นที่ศักยภาพการเติบโตเป็นหลัก และมี Growth Story ชัดเจนเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมในภาพรวม
ถ้ามองดูดีๆ จะพบว่าการลงทุนแนววีไอและแนวเติบโตมีความคล้ายคลึงกันมาก เพราะนักลงทุนที่เน้นหุ้นเติบโตก็ต้องเฟ้นหาหุ้นที่ราคาปัจจุบันต่ำกว่าความสามารถในการเติบโตระยะยาว ซึ่งก็คล้ายกับ Under-value ในมุมมองของวีไอนั่นเอง ส่วนตัวผมเลือกที่จะลงทุนในหุ้นเติบโตและจะถือไว้ให้นานตราบเท่าที่มันยังโตต่อไปได้เรื่อยๆ
ที่นี้หลายคนอาจจะมีความเชื่อว่ามีแต่หุ้นตัวเล็กเท่านั้นถึงจะเติบโตเยอะๆ เป็นร้อยเป็นพันเปอร์เซนต์ได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่จําเป็นเลย เพราะหุ้นขนาดใหญ่ก็สามารถเติบโตได้ในระดับดังกล่าว แต่มีข้อแม้นะครับว่าเราต้องถือให้นานพอ ราคาหุ้นระยะยาวจะเป็นไปตามแรงกรรมของผลประกอบการนั่นเอง ถ้ากิจการทํากรรมดีทําธุรกิจมีกําไรทุกปี มีอัตราการเติบโตของธุรกิจเพิ่มขึ้นทุกปี สถานะทางการเงินดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ราคาหุ้นของกิจการนั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก “เติบโต” ไปตามแรงกรรมดีนั้น
ที่นี้เรามาคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ทกันดีกว่า ถ้าถาม ปีเตอร์ ลินช์ เขาจะแยกหุ้นออกเป็น 6 ประเภท
หนึ่ง หุ้นโตช้าอุ้ยอ้าย ซึ่งอยู่ในธุรกิจที่อิ่มตัวแล้วและไม่สามารถ ที่จะสร้างกําไรให้เติบโตเกินกว่าปกติได้ เติบโตเท่าๆ กับอัตราเงินเฟ้อ เช่น พวกหุ้นอาหารบางตัว
สอง หุ้นพื้นฐาน จะมีอัตราการเติบโตที่มากกว่าเงินเฟ้อและแข็งแกร่ง เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น
สาม หุ้นวัฏจักร จะมีรอบธุรกิจขาขึ้นและขาลง เช่น พวกธุรกิจที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์
สี่ หุ้นฟื้นตัวหรือเทิร์นอะราวนด์ กิจการนั้นต้องเคยแย่มาก่อน และได้เข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่ทําให้กิจการฟื้นขึ้น
ห้า หุ้นสินทรัพย์ซ่อนค่า พวกนี้จะมีสินทรัพย์ซ่อนค่าไว้เยอะ โดยเฉพาะที่ดินที่ยังไม่ได้ปรับราคาตามราคาประเมินที่ดินใหม่
และ หก ประเภทสุดท้ายที่เรากําลังพูดถึงคือ หุ้นเติบโต ซึ่งจะมีคุณสมบัติดังนี้คือ อยู่ในอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งเป็นขาขึ้นและตัวบริษัทมีศักยภาพสามารถเติบโตได้สูงกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน เช่น มีความสามารถในการทําตลาดที่ดีกว่า บริหารต้นทุนได้ดีกว่า มีอํานาจต่อรองสูงและมีแผนธุรกิจที่เน้นการเติบโตชัดเจน
หุ้นเติบโตควรจะมีอัตราการเติบโตของกําไรสุทธิ 15-18% ต่อปีติดต่อกัน เราในฐานะนักลงทุนต้องไปติดตามงบรายไตรมาส ลองเข้าไปดูจุดสังเกตต่างๆ ในงบการเงิน เช่น รายได้เติบโตหรือไม่ กระแสเงินสดสุทธิจากการดําเนินงานเป็นบวกหรือไม่ บริหารต้นทุนได้ดีกว่าคู่แข่งหรือไม่ เป็นต้น
โดยเฉพาะ “กําไรจากการดําเนินงาน(EBIT)” ควรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสหรือเทียบปีต่อปี หรือถ้าลดลงก็ต้องมีเหตุผล มารองรับ ถ้าลดลงจากสาเหตุของสถานการณ์ภายนอก เช่น น้ำท่วม พายุเข้า หรือโรคระบาด ซึ่งเป็นเหตุการณ์พิเศษก็ไม่น่าห่วง
แต่ถ้าลดลงเพราะตัวมันเองเช่น อุตสาหกรรมมีการแข่งขันตัดราคา กันเลือดสาดหรือค้นพบสินค้าทดแทนที่จะกระทบต่อแนวโน้มความต้องการใช้สินค้าลดลงในระยะยาว แปลว่าแนวโน้มการเติบโตเริ่มลดลงแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้เราอาจจะพิจารณาปรับออกจากพอร์ท
ส่วนตัวผมจะดูว่าถ้าหากกําไรลดลงไม่เกิน 10% ก็จะรอดูไปก่อน ถ้าเริ่มลดลงซ้ำกัน 2-3 ไตรมาสก็อาจจะพิจารณาเปลี่ยนออกจากพอร์ท ผมว่าเหมือนกับเด็กเรียนหนังสือน่ะ คงไม่มีใครที่จะเก่งไปตลอด มันก็ต้องมีช่วงที่ผลการเรียนตกลงไปบ้าง ก็ไม่น่าจะเป็นไร
แต่ถ้าผลการเรียนแย่ลงแบบต่อเนื่อง ก็จะดูอนาคตไม่ดีครับ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรประเมินพอร์ทลงทุนของตนเองทุกๆ 6 เดือนหรืออย่างน้อย ปีละครั้งนะครับ