ในการบริหารเงินหรือ Money Management นั้น ท้ายที่สุดก็คือ การบริหาร / การกระจายความเสี่ยง โดยมีหลักการทั่วไปก็คือการลงทุนในหุ้นที่ต่างอุตสาหกรรมหรือสินค้าที่ต่างกัน
ส่วนตัวผมคิดว่าจริงๆ แล้วหลักการดังกล่าวเป็นเพียงแค่การทําให้ไม่กระจุกตัวกันเท่านั้น ไม่ใช่การกระจาย ปัญหาข้อหนึ่งก็คือถ้าเลือกด้วยแนวทางดังกล่าว ผลกําไรก็จะต่ำลงมาด้วย
หลักการกระจายความเสี่ยงก็คือสินทรัพย์แต่ละส่วนต้องแยกออกจากกัน เช่น ถ้าอุตสาหกรรมหนึ่งได้รับผลกระทบ จะต้องไม่ส่งผลมาถึงอีกอุตสาหกรรมหนึ่งด้วย แต่สมัยนี้เวลาที่ตลาดหุ้นขึ้น เกือบทุกอุตสาหกรรมก็จะขึ้นกันหมด เวลาลงก็ลงพร้อมกันหมด ถ้าจะ Sideway ก็เป็นเหมือนกัน
คําถามก็คือ ช่วงขึ้นก็ขึ้นหมด ช่วงลงก็ลงหมด แบบนี้แล้วมันจะเป็นการกระจายความเสี่ยงที่แท้จริงได้อย่างไร?
ตัวผมเองมีการกระจายความเสี่ยงสองแบบหนึ่งคือ แยกลงทุนตามสินค้าที่ต่างกัน (ตามตํารา) แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การทําไม่ให้กระจุกตัวเท่านั้น แต่ผมยังมีอีกวิธีก็คือ กระจายตามวัตถุประสงค์การลงทุน ซึ่งจะต้องระบุวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนเสียก่อน เช่นการเข้ามาเทรดฟิวเจอร์ก็คือการหวังเก็งกําไร ดังนั้นวัตถุประสงค์ของพอร์ตนี้ก็คือการเก็งกําไร ซึ่งมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา และหวังกําไรจากส่วนต่างของราคา
ส่วนพอร์ตที่สองก็คือพอร์ตที่มุ่งเน้นการสร้างกระแสเงินสด เช่นซื้อหุ้น โดยไม่แคร์ราคาหรือเป็นแนววีไอไปเลย ซื้อหุ้นแล้วรอปันผล ซื้อคอนโดมิเนียมปล่อยเช่าหวังกระแสเงินสดจากค่าเช่า โดยไม่หวังส่วนต่างของราคาเป็นหลัก
ทําไมต้องทําแบบนี้? ลองคิดดูว่าถ้าวิธีการลงทุนเหมือนๆ กันคือ เก็งกําไรซื้อๆ ขายๆ ความเสี่ยงที่เจอก็เป็นแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคํา ฟิวเจอร์ อสังหาริมทรัพย์ ที่เสี่ยงแบบเดียวกัน เพราะว่าเราใช้วิธีการที่เหมือนกันในการจัดการ แต่ถ้าเราลงทุนอีกแบบคือเน้นสร้างกระแสเงินสด ถ้าส่วนที่เก็งกำไรเสียหาย ส่วนนี้ก็จะไม่เสียหายไปด้วย นี่คือวิธีการที่ผมพัฒนาขึ้นมา เพื่อแก้โจทย์นี้
ผมอยากจะเรียกคอนเซ็ปต์นี้ว่า “รวย มั่งคั่ง มั่นคง”
โครงสร้างการเงินจะต้องมี 3 ส่วน หนึ่งคือสร้างพอร์ตด้วยการเก็งกําไร เพราะเงินจะโตเร็ว สองคือลงทุน เน้นสร้างกระแสเงินสดเพื่อเลี้ยงเราในอนาคตก็เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ส่วนสุดท้ายก็คือเผื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น เงินออมเพราะฉะนั้นเงินจากการลงทุนเก็งกําไรและจากกระแสเงินสด ส่วนหนึ่งควรต้องแบ่งมาออมเงินด้วย
ลองคิดดูว่าถ้าผมหวังกระแสเงินสดเป็นหลัก ความผันผวนระยะสั้นของราคาก็จะไม่มีผล ดังนั้นนี่คือการกระจายความเสี่ยงโดยสมบูรณ์นั่นเอง
ถ้าทําแบบนี้เราก็จะมีความร่ำรวยจากการเก็งกําไร มีความมั่งคั่งในอนาคตจากกระแสเงินสด พอมันใหญ่จนเลี้ยงตัวได้ ก็ต้องแบ่งเงินแบ็คอัพให้มั่นคงด้วย
ถามว่าสัดส่วนควรจะเป็นเท่าไร ตอบไม่ได้ครับมันแล้วแต่คนอย่างที่ผมเคยบอกว่าชีวิตของนักลงทุนจะแบ่งเป็นสามช่วงก็คือช่วงแรก เอาตัวรอดได้ ไม่เจ๊งช่วงที่สองก็คือช่วงเติบโต พอมีการเก็งกําไรให้เงินทํางานแล้วก็ต้องเริ่ม หาการลงทุนที่สร้างกระแสเงินสดบ้าง อาจไม่ต้องเยอะ เพราะผลตอบแทน จากกระแสเงินสดจะน้อยกว่าการเก็งกําไรเสมอ สุดท้ายการออมก็ต้องเริ่มมีบ้าง
แต่พอเข้าถึงช่วงที่มั่งคั่งแล้ว สิ่งที่จะบ่งบอกได้ก็คือ มีกระแสเงินสดที่มากพอจะเลี้ยงดูตัวเราได้ ต่อให้เราหยุดเทรดก็มีเงินเข้ามาการออมก็ยังมีอยู่ ดังนั้นช่วงที่กําลังเติบโตจึงต้องเน้นสร้างส่วนกําไรแบ่งมาลงทุนยังส่วนที่สร้างกระแสเงินสดด้วย เช่น อาจจะซื้อหุ้นดีๆ รอเงินปันผล หรือไม่ก็ซื้ออสังหาริมทรัพย์ครับ