ตลาดหุ้นไทย เข้าสู่ไตรมาสที่สอง ก็เจอหยุดยาวสงกรานต์ที่เป็นช่วงวอลุ่มการซื้อขายจะเบาบางกว่าปกติ และเป็นช่วงรอปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน แต่ปีนี้มีความพิเศษคือ SET Index ในเดือนเมษายนทยอยขึ้นทีละน้อยๆ จาก 1600 ต้นๆ มาที่ 1600 ปลายๆ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน
ภาวะตลาดอาจจะได้ปัจจัยบวก จากแรงซื้อของนักลงทุนเพื่อดักผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2019 ที่กําลังทยอยประกาศในช่วงนี้ ไปจนถึงกลางเดือนพ.ค. รวมถึงประเด็นข่าวการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการบริโภค ท่องเที่ยว อสังหาฯ แพคเกจช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย รวมถึงการต่ออายุการยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยว (VOA) โดยคาดว่าจะเข้าครม.ได้ใน 2 สัปดาห์ (ไม่เกินต้นเดือนพ.ค.) ในขณะที่สภาพ “ตลาดหุ้นทั่วโลก” ถือว่าปรับตัวขึ้นได้ดีเกินคาด เป็นไตรมาสหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนดีเยี่ยม ตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ล้วนแล้วแต่ปรับตัวขึ้นกันทั้งสิ้น หลายตลาดปรับตัวกันดีมากในระดับ 8%-20% กันเลยทีเดียว
ตลาดหุ้นที่ทำนักลงทุนประหลาดใจที่สุด น่าจะเป็น “ตลาดหุ้นจีน” เพราะในปีที่แล้ว หนึ่งในตลาดหุ้น ที่ให้ผลตอบแทน "เลวร้าย" ที่สุดในโลก คือ ตลาดหุ้นจีน Shanghai Composite ผลงานคือดัชนีติดลบไป -24.6% ... พอมาปีนี้ เพิ่งผ่านไป 3 เดือนกว่าๆ ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทน "ดีเยี่ยม" ที่สุดในโลก คือ ตลาดหุ้นจีน ผลงานคือดัชนีบวกไปเกือบ +31%
ดัชนีตลาดหุ้นจีน กำลังบวกคืนผลขาดทุนปีที่แล้ว ในอัตราเร่ง ถามว่าเพราะอะไร ก็ต้องตอบว่าเพราะจีนเขา "มีข่าวดี มีความหวัง" ไม่ว่าจะเป็น สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ที่ความกดดันผ่านจุดพีคไปแล้ว ทุกอย่างผ่อนคลายไปมาก ... การส่งออกที่ไม่เลวร้ายอย่างที่คาด... และแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ก็กลับเป็นการส่งสัญญาณชลอการขึ้นดอกเบี้ย ทุกอย่างเป็นข่าวดีที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น
"หันมามองตลาดหุ้นไทย เราก็ยังบวกมาได้ แม้ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย ... ประมาณ 7% นับจากต้นปี ยังมาไม่ถึงเปอร์เซนต์ขาดทุน ของปีที่แล้วที่ติดลบไป และผมยังเชื่อว่า" เราจะมี "มีข่าวดี มีความหวัง"
เราผ่านการเลือกตั้งมาแล้วเมื่อปลายเดือนมีนาคม รอเพียงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในช่วงไม่เกินเดือนพฤษภาคมนี้เท่านั้น ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ จะได้ประกาศใช้อย่างแน่นอน ไม่ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะจัดตั้งโดยแกนนำพรรคใดก็ตาม ข่าวการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พร้อมกับนโยบายเศรษฐกิจที่สดใหม่ จะเดินหน้าประเทศไทย บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่แม้จะยังทำผลงานไม่เติบโตนัก แต่ก็จะได้รับอานิสงส์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ และบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นครั้งนี้ด้วย
ตลาดหุ้นไทยในปีนี้ แม้จะปรับตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ถ้าเทียบกับหลายๆประเทศในภูมิภาคเดียวกัน หรือประเทศที่โดนต่างชาติปรับพอร์ตขายทิ้งในปีที่แล้วหนักมาเหมือนๆกัน...ก็ต้องยอมรับว่าผลตอบแทนเรายังสู้ประเทศอื่นๆไม่ได้ โดยเฉพาะเม็ดเงินต่างชาติ (ที่เรียกชื่อเล่นกันว่า เม็ดเงินฝรั่ง) ที่เริ่มไหลกลับไปยังหลายๆประเทศในเอเชีย ชดเชยการขายหนักในปีที่แล้ว เช่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ในขณะที่ยังคงขายสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
ในมุมมองของผม ผมคิดว่าตลาดหุ้นไทย ยังคงเป็นตลาดหุ้นที่อยู่ในเรดาห์การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอยู่ ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่ยังมีการเติบโต เป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนของภูมิภาค GMS (Great Mekong Subregion) หรืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และกำลังลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศไปอีกขั้น อย่างที่ไม่เคยลงทุนหนักเช่นนี้มาก่อน
จึงยังคงมีความน่าสนใจ นอกจากนี้ การที่เม็ดเงินฝรั่งได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำจากประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ไปแล้ว ก็มีโอกาสเกิด Country Rotation (สับเปลี่ยนเวียนประเทศลงทุน) คล้ายกับหลักการของ Sector Rotation (สับเปลี่ยนเวียนกลุ่มลงทุน) โอกาสที่เม็ดเงินฝรั่งจะกลับมาที่หุ้นไทยปีนี้ จึงยังมีความเป็นไปได้
และจากสถิติการลงทุนที่ผ่านมา เมื่อใดที่เม็ดเงินฝรั่งเข้าซื้อหุ้นไทย (หรือแม้แต่ขายสุทธิเบาๆก็ตาม)…ปีนั้นผลตอบแทนของ SET จะเป็นบวกครับ
"นี่เป็นส่วนหนึ่งของคอร์สเรียนหุ้น จาก stock2morrow หากท่านไหนสนใจสามารถลงทะเบียนเรียนได้ที่"
คอร์สเรียนหุ้น จาก stock2morrow