แต่ละวันเราได้พบเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งดีและไม่ดี คําถามก็คือ ทําไมบางคน เจอเรื่องไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก แต่ทําไมจึงยอมแพ้ ง่ายดาย ในขณะที่บางคน ต่อให้เจอเรื่องราวหนัก หน่วงแค่ไหน เขากลับยิ้มสู้ และผ่านมันมาได้ คําตอบก็คือ
EVENT (เหตุการณ์) + RESPONSE (การตอบสนอง) = OUTCOME (ผลลัพธ์)
ความแตกต่างในการตีความและมุมมองที่ มีต่อเหตุการณ์นั้น ๆ นั่นเอง ที่ทําให้เราได้ผลลัพธ์ในชีวิตที่ต่างกัน
ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ
ทุกเช้าเวลาไปทํางานแล้วเจอรถติด มีหลายคนบ่น เบื่อ หงุดหงิดว่าทําไมรถได้ติดขนาดนี้ (วะ) หน้านิ่วคิ้วขมวด จนคนนั่งข้าง ๆ พลอยเบื่อ เซ็ง กับ อารมณ์เสีย ๆ ของเขาไปด้วย
ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับมองว่า รถติดก็ดี จะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกหน่อย รถติดก็ดี ฉันจะได้ แต่งหน้าต่อ รถติดก็ดี กําลังอยากฟังเพลงยาว ๆ
เห็นมั้ยครับ เหตุการณ์เดียวกัน แต่เพราะการตอบสนองที่ต่างกันจึงส่งผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน
หรือจะเป็นเรื่องราวของ แจ็ค หม่า มหาเศรษฐี ที่รวยที่สุดของประเทศจีน เขาคือผู้ก่อตั้ง AIibaba เว็บไซต์ขายส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เขาเป็นเด็กที่เกิดในครอบครัวชาวนาที่มีฐานะยากจนมาก ถึงขนาดว่าได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงทําให้ร่างกายของเขาไม่เติบโตได้ตามเกณฑ์ของเด็กทั่วไป
หมู่บ้านของ แจ็ค หม่า เป็นหมู่บ้านที่กันดาร ผู้คนล้วนแล้วแต่ยากจนและประกอบอาชีพชาวนา
ขณะที่อีกเมืองหนึ่งซึ่งไกลออกไป กลับเป็นเมืองที่เจริญกว่าและมีชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวและค้าขายมากมาย
ด้วยความที่แจ็ค หม่า ไม่รู้ภาษาอังกฤษ เขาตื่นแต่เช้าเพื่อปั่นจักรยานไปที่เมืองนั้นทุกวัน เพื่อขออาสาพาชาวต่างชาติท่องเที่ยว แลกกับการที่เขาจะ ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษจากนักท่องเที่ยว
เขาทําอย่างนั้นเป็นประจํา จนทําให้ภาษาอังกฤษของเขานั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเขากลายเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในเวลาต่อมา
แจ็ค หม่า เคยบอกผ่านสื่อเป็นประจําว่าที่เขาประสบความสําเร็จได้มากขนาดนี้ เป็นเพราะเขาเข้าใจและสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้นั่นเอง
ลองคิดดูสิครับ เด็กคนอื่นๆ ก็รู้ว่ามีฝรั่งอยู่ที่เมืองนั้น แต่ไม่มีใครที่คิดได้แบบเขาเลยสักคน Event เดียวกัน คนจนเหมือนกัน Response ไม่เหมือนกัน Outcome ต่างกัน เขาไม่ได้คิดว่าการอยู่หมู่บ้านห่างไกลความเจริญจะเป็นปัญหา แต่เขามองหาโอกาส ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
ความน่าสนใจของผู้ชายคนนี้ยังไม่หมด เขาผ่านความล้มเหลวมาเยอะครับ เช่น ไม่ได้รับคัดเลือกเป็นพนักงาน KFC สอบตํารวจไม่ติด และเมื่อตอนที่เขาสนใจที่จะทําเว็บไซต์ Alibaba ขึ้นมา เขานําโครงการนี้ไปเล่าให้ลูกศิษย์และเพื่อน ๆ หลายคนฟัง แต่ไม่มีใครสนใจร่วมลงทุนกับเขาเลยสักคน!
ถามว่าเขาหยุดมั้ย? ไม่หยุด เขายังคงเดินหน้าไปต่อ ในขณะที่บางคนเสีย Self ขนาดคนสนิทยังไม่เห็นด้วยเลย!
หลายคนเจอแบบนี้อาจจะล้มเลิกไปนานแล้ว แต่แจ็ค หม่า ไม่คิดแบบนั้น เขากลับมองว่าถ้าอย่างนั้นก็คงต้องลุยต่อเพียงลําพัง
วันนี้ จากลูกชาวนาจน ๆ เป็นโรคขาดสารอาหาร เขากลายมาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในจีน เพราะการตอบสนองต่อความคิด การตีความในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เขาได้พบเจอนั้น เป็นไปในทางที่ดีกว่าคนอื่น ๆ นั่นเอง
น่าคิดนะครับว่าทุกวันนี้ เพื่อน ๆ ของแจ็ค หม่ากําลังทําอะไรกันอยู่?
คนสําเร็จเลือกตอบสนองต่อเหตุการณ์ ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบที่ต้องการ
ในขณะที่คนไม่สําเร็จจะโทษเหตุการณ์ว่า ทําให้ฉันเป็นแบบนั้นแบบนี้ ฉันทําอะไรไม่ได้เลย ผลลัพธ์ในชีวิตจึงเป็นแบบนั้น
จุดสังเกตว่าใครมีทัศนคติแบบไหนให้ดูตรง ที่คําพูด ดูการใช้ภาษาของเขาครับ
ถ้าเขาเป็นคนขี้บ่น โวยวาย ไม่พอใจ โทษคนอื่นตลอดเวลา เช่น เมื่อ เซ็ง ยาก เป็นไปไม่ได้ โชคร้าย อะไรก็กรู ไม่ว่าจะหลุดจากปากโดยตรงหรือลอยมาผ่าน Facebook นั่นแหละครับคนที่ตอบสนองเหตุการณ์ได้แย่มาก มีทัศนคติแย่มาก เขาคือคนที่คิดว่าตัวเองถูกกระทําตลอดเวลา (เป็นเหยื่อ) = Victim
เมื่อคิดแบบนั้น ชีวิตเขาก็จะเป็นไปตามนั้น
ผมอยากให้ลองสังเกตตัวเองดูว่าคุณยังติดอยู่กับคําพูดเหล่านั้นหรือเปล่า?
เวลาเจอเหตุการณ์ใด ๆ คุณรู้สึกว่าควบคุมได้ หรือรู้สึกว่าถูกกระทําอยู่ตลอดเวลา?
ถ้าคิดว่าตัวเองยังมีความคิด การตอบสนองต่อเหตุการณ์ในชีวิตไปในทางแย่ ๆ ก็ให้รีบเปลี่ยนเลยครับ ลองตอบสนองแบบใหม่ ใช้มุมมองใหม่ ปรับทัศนคติใหม่ ลองหาดูว่าในเหตุการณ์นั้นมีอะไรดีๆ ที่ ซ่อนอยู่บ้าง
ฝึกเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนถ้อยคําที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ แล้วมันจะส่งผลให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนตามไปด้วยอย่างแน่นอน (แต่ต้องฝึกบ่อย ๆ จนเก่ง)
“A negative mind will never give you a positive life.”
-Anonymous-
“ความคิดลบ ไม่อาจทําให้เรามีชีวิตที่ดีงามได้”
-นิรนาม-