"ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์จะอยู่รอดหรือไม่ วัดกันที่คุณภาพของคอนเทนต์"
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Netflix เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากเรียกว่าเป็นธุรกิจ "ดิสรัปชั่น" ในหลายๆธุรกิจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล
Netflix เป็นผู้ให้บริการภาพยนตร์และซีรีย์โดยได้รับความร่วมมือค่ายหนังดังหลายค่าย หลากหลายสตูดิโอ รวมถึงการลงทุนเพื่อผลิตภาพยนตร์ ซีรีย์เป็นของตัวเอง มีฉายเฉพาะใน Netflix เท่านั้น เพื่อมาเป็น "แม่เหล็ก" ดึงดูดสมาชิกเพิ่มมากขึ้น และการผลิตคอนเทนต์เองก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคที่ดีมาตลอด
ปัจจุบันมีคนจ่ายค่าสมาชิกให้กับ Netflix มากถึง 148 ล้านคนทั่วโลก กว่า 60 ล้านคนเป็นชาวอเมริกา และมากกว่า 6 ล้านคนที่กำลังอยุ่ในขั้นตอนของการทดลองใช้ฟรี 30 วัน (ข้อมูลจาก statista)
แต่รู้หรือไม่ว่า Netflix เองก็กำลังโดนคู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาด และคู่แข่งที่ว่าก็เป็นยักษ์ใหญ่ของวงการสื่ออีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายของ Netflix ก็คงไม่ผิดนัก ...
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ต้องติดตามครับ ....
ภาพยนตร์ 3 เรื่องที่ติดชาร์ตทำเงินได้มากที่สุดในปี 2019 คือ Avengers: Endgame, Captain Marvel และ Aladdin
>> ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ ดิสนีย์เป็นเจ้าของถึงลิขสิทธิ์
ภาพยนตร์ 3 เรื่องที่ติดชาร์ตทำเงินได้มากที่สุดในปี 2018 คือ Black Panther, Avengers: Infinity War และ Incredibles 2
>> ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ ดิสนีย์เป็นเจ้าของถึงลิขสิทธิ์
ภาพยนตร์ 3 เรื่องที่ติดชาร์ตทำเงินได้มากที่สุดในปี 2018 คือ Star Wars: The Last Jedi, Guardians of the Galaxy 2 และ Beauty and the Beast.
>> ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ ดิสนีย์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
รวมแล้วทั้งหมด 6 เรื่องจากใน 9 เรื่องถูกฉายอยู่ใน Netflix และปลายปีนี้กำลังจะหมดสัญญากับ Netflix เพื่อเอาไปฉายใน Disney+ ซึ่งดีสนีย์เป็นคนลงทุนทำเอง และเก็บค่าบริการรายเดือนในราคาถูกกว่า Netflix อยู่ที่ประมาณ 200 บาทต่อเดือนเท่านั้น ในขณะที่ Netflix เก็บค่าสมาชิกอยู่ที่ 350 บาทต่อเดือน (ถ้าอยากชมแบบความคมชัดสูง) เชื่อกันว่าถ้ามีคอนเทนต์ที่น่าดึงดูดบวกกับราคาที่ถูกกว่าเกือบครึ่ง คนอาจจะหันไปสนใจใน Disney+ มากกว่า
หรือแม้กระทั่งซีรีย์ชื่อดังที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดีอย่าง Game of Thrones และ Sex in the City ก็เป็นลิขสิทธิ์ของ HBO บริษัทลูกของ WarnerMedia ก็ประกาศลงทุนในธุรกิจแพลตฟอร์มวีดีโอสตีมมิ่งเต็มรูปแบบในปี 2020
ถือว่ามองข้ามไม่ได้เลยที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Disney และ WarnerMedia ผู้ที่มีคอนเทนต์คุณภาพ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และเงินทุนหนา จะหันกลับมาสร้างแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง
จากผลสำรวจพบว่าผู้ใช้บริการจะเลือกจ่ายเงินรายเดือนให้กับแพลตฟอร์ตวีดีโอสตีมมิ่งเจ้าไหนก็ตาม ต้องพิจารณาถึง 2 ปัจจัยหลัก คือ คุณภาพของหนังเป็นอันดับหนึ่ง และแพงมากแค่ไหนเป็นอันดับสอง
... Netflix กำลังสูญเสียในเรื่องคุณภาพของหนัง และราคาที่แพงกว่าคู่แข่ง ในเวลาเดียวกัน
Netflix ถือเป็นบริษัททีมีหนี้สินค่อนข้างสูง เมื่อปีที่แล้วบริษัทใช้งบสร้างคอนเทนต์ ซื้อลิขสิทธิ์มากถึง 1.2 หมื่นล้านเหรียญ ในขณะที่สร้างรายได้เพียงแค่ 1.2 พันล้านเหรียญเท่านั้น
แล้วแบบนี้ Netflix จะอยู่รอได้อย่างไร .. ?
สื่อจาก The Wall Street Journal วิเคราะห์ไว้ว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าคู่แข่งเรื่องวีดีโอสตีมมิ่งจะดุเดือดกว่าที่เป็นอยู่ แต่ Netflix มีข้อได้เปรียบคือ ทุกคนเริ่มจาก 0 ในขณะที่ Netflix เริ่มต้นจาก 148 ล้านคน ถ้าพวกเขาสามารถบริหารลูกค้าที่อยู่ในมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทก็ยังไปต่อได้ แต่คงไม่เหมือนเดิม จุดสูงสุดของ Netflix ได้ผ่านไปแล้ว ...
แล้วเพื่อนๆมีความเห็นอย่างไรกันบ้าง ค่าบริการ Netflix ปัจจุบันแพงไปหรือไม่ แล้วถ้ามีค่ายอีกสนใจจะย้ายหรือไม่ มาร่วมแสดงความเห็นกันครับ