ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปีนี้คือ “ปีทอง” ของเหล่า tech startup อเมริกันที่มีการ IPO (หรือประกาศว่าจะ IPO) กันแทบทุกอาทิตย์
บทความนี้จะสรุปว่าในปีที่ผ่านมานั้นมีธุรกิจแบบไหนบ้างที่ระดมทุนในตลาดไปแล้ว และยังมีธุรกิจแบบใดที่กำลังจะตามมา
1. Airbnb
ทำอะไร- Airbnb เป็น two-sided home-rental แพลตฟอร์มผู้นำด้าน sharing economy ที่เชื่อมต่อเจ้าของห้องที่มีห้องว่างและต้องการจะปล่อยให้เช่ากับผู้เช่าระยะสั้นโดยมุ่งเป้าหมายหลักไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อให้ได้ที่พักในราคาเหมาะสมและมีการบริการที่มีคุณภาพ ความสำเร็จของ Platform ลักษณะนี้ขึ้นอยู่กับ Trust ระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า
อีกหนึ่ง value proposition ของ Airbnb ก็คือการสร้างประสบการณ์แบบเที่ยวท้องถิ่นที่หาไม่ได้จากการไปที่พักรูปแบบอื่นๆ อย่างคำแนะนำจากผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นจริงๆ
Revenue model ของ Airbnb มาจากการเก็บ commission จากทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า โดยผู้เช่าจะต้องเสีย booking fees 6-12% และผู้ให้เช่าจะเสีย 3% commission fees สำหรับทุกๆ การจองที่สำเร็จ
IPO- แม้จะมีข่าวลือว่า Airbnb จะประกาศ IPO ในปีนี้ แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากบริษัท ตาม รายงาน 409a valuation บริษัท Airbnb มีมูลค่ากว่า 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าคู่แข่งอย่าง Expedia ที่มีมูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐหรือแม้กระทั่งเชนโรงแรมขนาดยักษ์อย่าง Hilton ที่มีมูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. Beyond Meat
ทำอะไร- Beyond Meat-The Future of Protein ผู้ผลิตและคิดค้นเนื้อสัตว์ที่ทำมาจากพืชโดยมีแนวคิดว่าองค์ประกอบของเนื้อสัตว์อย่างโปรตีน ไขมัน แร่ธาตุต่างๆ สามารถสร้างขึ้นได้จากพืช Beyond Meat จึงทุ่มเทคิดค้นและวิจัยเนื้อสัตว์ที่ทำมาจากพืชที่มีลักษณะ รูปร่าง เนื้อสัมผัสและรสชาติที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ของจริง รวมถึงมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
IPO- Beyond Meat IPO ไปเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมบน Nasdaq เปิดตัวอยู่ที่ราคา $23-25 จำนวน 9.63 ล้านหุ้น ในวันแรกของซื้อขายราคาของหุ้นเพิ่มถึง 84% ไปแตะที่ $46 ต่อหุ้นซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งใน best-performing first day IPO ในรอบสองทศวรรษ ล่าสุดราคาหุ้นของ Beyond meat เพิ่มสูงขึ้นกว่า 500% อยู่ที่ $154 ทำให้บริษัทมี Market capitalization อยู่ที่ราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
3. CloudStrike
ทำอะไร- บริการของ CloudStrike หลัก ๆ คือการให้บริการ Cloud-based Cybersecurity เพื่อปกป้องผู้ใช้งานจาก security breaches ทั้งหมดโดยใช้ระบบที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองอย่าง Falcon platform บริการของ Crowdstike เป็น Security as a Service ที่ทำงานแบบ Cloud-based ทั้งหมด ดังนั้นผู้ใช้งานจะไม่จำเป็นต้องมีเซิร์ฟเวอร์ และ Controllers ทำให้ลูกค้าสามารถประหยัดงบประมาณทั้งในแง่ของงบการลงทุนค่าอุปกรณ์และการ Maintenance และสามารถทำการอัพเดทระบบให้เป็นล่าสุดอยู่เสมอ
ผลงานของ Crowdsource ที่เด่น ๆ คือการตรวจจับต้นทางการแฮคข้อมูลเลือกตั้งในปี 2016 ว่ามาจากประเทศรัสเซีย นอกจากนี้ CrowdStrike ยังเคลมว่ากว่า 44 บริษัทใน Fortune 100 เป็นลูกค้าของบริษัทและหนึ่งในนั้นยังรวมถึง Amazon Web Services อีกด้วย
IPO- CrowdStrike IPO ไปในวันที่ 12 มิถุนายนโดยเปิดตัวที่ราคา $34 โดยคาดว่าสามารถระดมทุนได้มากกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐส่งผลให้บริษัทมี Valuation ที่ 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/Fiverr
4. Fiverr
ทำอะไร- Fiverr เป็นแพลตฟอร์มสำหรับ Gig economy ที่เชื่อมต่อเหล่า Freelancer กับบริษัทที่ต้องการ บน Fiverr ในด้านของ labor demand เหล่าผู้จ้างงานจะโพสต์ tasks ต่าง ๆ พร้อมกับค่าจ้างขั้นต้น (สามารถต่อรองได้ภายหลัง) ส่วนด้านของ Labor supply สามารถเข้ามาดู Listing เพื่อหางานได้โดย Fiverr จะเก็บค่าธรรมเนียม Commission 20% จากผู้รับงาน
ระบบจะ Prioritize ที่ได้คะแนนมากไว้ให้ได้งานก่อน สร้าง Incentive ให้ผู้รับงานมีคุณภาพมากขึ้น ในปัจจุบัน Fiverr มีผู้จ้างงานกว่า 5.5 ล้านและ Freelancer กว่า 8.5 แสนคนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษและมีลักษณะงานกว่า 200 อาชีพให้ผู้จ้างงานได้เลือก
IPO- Fiverr เปิดราคา IPO ที่ $21 ต่อหุ้น สามารถ raise fund ได้กว่า 111 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวันแรกของการ trade ราคาหุ้นปิดตัวที่ $39.90 ซึ่งสูงกว่าราคา IPO ถึง 90% อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนดูบริษัทคู่แข่งอย่าง Freelancer.com และ Upwork ที่ IPO ไปก่อนหน้านี้ ทั้งสองบริษัทต่างได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทำให้ราคาปิดตัววันแรกสูงกว่า IPO อย่างมากเช่นกัน แต่กลังจากนั้นไม่นาน ราคาหุ้นกลับเข้าสู่ช่วงราคาที่ IPO
5. Lyft
ทำอะไร- Lyft เป็นผู้ให้บริการ On-demand Maas ลักษณะเดียวกันกับ Uber หรือ Grab ปัจจุบัน Lyft ให้บริการ ride-sharing ในกว่า 200 เมืองทั้งสหรัฐอเมริกาและยังครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 40% ในเมืองใหญ่หลาย ๆ เมือง เช่น Austin และ San Francsico แ
แล้ว Lyft ต่างอะไรจาก Uber?
สโลแกนของ Lyft คือ your friend with a car แสดงถึงความสัมพันธ์แบบเพื่อมร่วมทางระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร ทำให้สร้าง Experience ที่แปลกใหม่และแตกต่างจาก Uber และแท็กซี่ทั่วไป
ในปี 2018 Lyft ยังออกบริการในรูปแบบ monthly subscription เดือนละ $299 โดยผู้โดยสารจะสามารถเรียกรถได้ฟรี 30 เที่ยวในราคาไม่เกินเที่ยวละ $15 ทั้งนี้ บริการรูปแบบนี้ทำให้บริษัทสามารถสร้าง recurring revenue stream ได้ดียิ่งขึ้น
IPO- Lyft IPO ไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมาด้วยราคา IPO บน Nasdaq ที่ $72 ต่อหุ้น โดยสามารถ raise fund ได้กว่า 26.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ราคาหุ้นในวันแรกของการ trade เปิดตัวที่ $87.24 หรือ 21% สูงกว่าราคา IPO ทว่าในวันที่สองของการ trading ราคาหุ้น Lyft กลับตกลงมาต่ำกว่า IPO และตอนนี้อยู่ที่ราว $64 เท่านั้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการขาดทุนกว่า 234.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสแรกของปี 2019 จากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่อย่าง autonomous car รวมถึงการการให้โปรโมชั่น ทำให้ในสายตาตลาดอาจมองว่าธุรกิจ ride hailing ที่ต้อง subsidy อย่างหนักเพื่อเรียกผู้โดยสารอย่างหนักจะยั่งยืนหรือไม่
6. Pinterest
ทำอะไร- Pinterest คือ Social media platform ที่ผู้ใช้สามารถแชร์รูปภาพต่าง ๆ ในรูปแบบของ pinboard หรือ bulletin board เนื้อหาส่วนใหญ่บนแฟลตฟอร์มนี้เกี่ยวกับผลงานจาก Project ต่าง ๆ งาน DIY หรือแม้กระทั่งสูตรอาหาร ทำให้แพลตฟอร์มนี้เป็นแหล่งของ Consumer discovery และ Inspiration
Value proposition ของ Pinterest คือการเป็นตัวช่วยในการจัดการไอเดียความคิด และ Revenue model ของ Pinterest มาจากการโฆษณาเหมือน social media platform อื่นๆ โดยการโปรโมต sponsored post สำหรับผู้ใช้ที่เสียเงิน
IPO- Pinterest IPO บน NYSE ในวันที่ 18 เมษายนด้วยราคา IPO ที่ $19 ต่อหุ้น ทำให้บริษัทมี Market capitalization กว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ราคาหุ้นในวันแรกของการ trade เพิ่มขึ้นเป็น $23.75 หรือ 25% สูงขึ้นจากราคา IPO ล่าสุด ราคาหุ้นของ Pinterest อยู่ที่ $27.98
7. Spotify
ทำอะไร- Spotify คือผู้ให้บริการ On-demand music streaming ในปัจจุบัน platform นี้มีผู้ใช้ว่า 217 ล้านคนและ monthly user กว่า 100 ล้านคน บริการของ Spotify มีทั้งแบบ freemium และแบบ paid service โดย ผู้ใช้แบบ Freemium จะมีโฆษณาคั่นและการเล่นเพลงจะเป็นแบบ shuffle เท่านั้น ในขณะที่ผู้ใช้ที่เสียเงินจะสามารถใช้ Features อื่นๆ ได้มากกว่าเช่น การปรับคุณภาพเสียง
รายได้หลักของบริษัทมาจาก monthly subscription ของ paid users รวมถึงรายได้อีกทางของ Spotify มาจาก advertising services เช่น sponsored playlist ที่ brand ต่าง ๆ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการ Target กลุ่มผู้ฟังได้โดยตรง
ในส่วนของ supply side ค่ายเพลงและศิลปินบน Spotify จะได้ Royalty fees จากการฟังเพลงของคน ซึ่งรายได้กว่า 70% ของ Spotify จะถูกจ่ายให้กับค่ายเพลงและศิลปินเหล่านี้
IPO- Spotify IPO บน NYSE ในวันที่ 3 เมษายน 2018 ด้วยราคา IPO ที่ $132 ต่อหุ้น ทำให้บริษัทมี market valuation กว่า 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากวันแรกของการ trade ราคาหุ้นเปิดที่ $149.6 สูงกว่าราคา IPO กว่า 12% จากการสัมภาษณ์ของ Daniel Ek CEO ของ Spotify กล่าวว่าจุดประสงค์หลักของการ IPO ไม่ใช้การ raise fund แต่เป็นเพียงการให้ผู้ถือหุ้นสามารถ trade หุ้นของ Spotify ได้
ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/zoomvideocommunications
8. Zoom video communications
ทำอะไร- Zoom video communications ผู้ให้บริการ remote conferencing services ผ่าน cloud computing ที่รวมบริการสนทนาผ่านวิดีโอ, ประชุมออนไลน์, แชท และระบบนัดหมายทางมือถือเข้าไว้ด้วยกัน
นอกจากนี้ บนแพลตฟอร์มของ Zoom ยัง integrate บริการต่าง ๆ เช่น content sharing จาก One Drive หรือ Google Drive Scheduling จาก Slack Skype Unified Login ผ่านทาง Facebook Google เป็นต้น
Revenue model ของ Zoom มาจาก monthly subscription
IPO- Zoom IPO บน Nasdaq ในวันที่ 18 เมษายน 2019 ด้วยราคา IPO ที่ $36 ต่อหุ้น หลังจากวันแรกของการ Trade ราคาหุ้นปิดตัวที่ $62 หรือ 72% สูงกว่าราคา IPO ทำให้ Zoom มี market capitalization ที่ 1.77 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ Zoom ยังเป็นไม่กี่ tech company ที่พากัน IPO ในปีนี้ที่สามารถทำกำไรได้แล้ว
9. Uber
ทำอะไร- Uber ผู้ให้บริการ Ride-hailing service รวมถึงบริการ Mobility on-demand อื่น ๆ อย่าง Food delivery และ Bicycle sharing system ในปัจจุบันมีผู้ใช้กว่า 110 ล้านคนและมีส่วนตลาดมากกว่า 69% ในสหรัฐอเมริกาในตลาด Ride-hailing
revenue model ของ Uber มาจากการเก็บค่า commission fees จากคนขับประมาณ 25-30% และการคิดค่าโดยสารเพิ่มจาก surge pricing (เวลา demand สูงกว่า supply มากๆ)
IPO- Uber IPO ไปในวันที่ 9 พฤษภาคม 2019 บน NYSE ด้วยราคา IPO ที่ $45 ต่อหุ้น ต่อมาในวันแรกของการ Trade ราคาหุ้นกลับเปิดตัวที่ $42 ต่อหุ้นซึ่งต่ำกว่าราคา IPO 7% ทำให้ Uber มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 6.97 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนยังค่อนข้างไม่ไว้วางใจเหล่าบริษัท ride-hailing ที่สะสมการขาดทุนจากการแจกโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าทั้งตัว Uber เองหรือ Lyft ที่เพิ่ง IPO ไปไม่นาน ส่งผลให้ราคาหุ้นของทั้งสองไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
10. Slack
ทำอะไร- Slack เป็น application โปรดของผู้เขียน และเป็นผู้ให้บริการ SaaS สำหรับการสื่อสารภายในองค์กร จุดมุ่งหมายหลักของแพลตฟอร์มนี้คือการ Integrate ทุกอย่างในบริษัทไว้ในที่เดียว นอกจากนี้ บริการของ Slack ยังสามารถทำงานร่วมกับแอพพลิเคชั่นอื่นๆ ได้ เช่น Trello แอพพลิเคชั่นสำหรับ product management Github หรือ code hosting service และ Skype เป็นต้น
revenue model ของ Slack มาจาก monthly subscription โดยผู้ใช้จะต้องจ่ายค่าบริการหากจำนวนข้อความทั้งหมดเกิน 10,000 ข้อความภายใน 30 วันจากทั้งบริษัทและผู้ใช้ยังต้องการเก็บข้อความไว้ในระบบ โดย Slack จะคิดค่าบริการประมาณ $6.67 ถึง $12 ต่อ Active user
IPO- Slack IPO ไปในวันที่ 20 มิถุนายน 2019 บน NYSE ด้วย reference price ที่ $26 ต่อหุ้น ทำให้บริษัทมีมูลค่ากว่า 1.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐสูงกว่ามูลค่าก่อน IPO ถึงสามเท่า ในวันแรกของการ Trade ราคาหุ้นเปิดตัวที่ $38.50 และปิดที่ $38.62 ซึ่งสูงกว่า Reference price ถึง 48.5%
ท่ามกลางกระแสการ IPO ของ Tech company มากมายในช่วงที่ผ่านอย่าง Uber และ Lyft ที่ไม่เป็นไปตามคาดเนื่องจากนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นว่าบริษัทเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนการขาดทุนสะสมมาเป็นกำไรได้หรือไม่
น่าสนใจมากที่ Slack และเหล่าบริษัท Tech startup เล็กลงมาเช่น Zoom กลับสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนจากความสามารถที่จะสร้างกำไรได้ ทำให้ Slack มี market cap สูงกว่า Lyft รวมถึง social media platform อย่าง Pinterest