นิยาม “ความรวย” ในแบบของผมก็คือมีเงินมาก แต่ไม่กล้าใช้/กังวล เพราะกลัวพร่อง
“รวย” ก็คือการมี Active Income มากกว่าไลฟ์สไตล์ ซึ่งแน่นอนขั้นแรกใครๆ ก็อยากรวยด้วยกันทั้งนั้น
แต่ “อิสรภาพทางการเงิน” มันเหนือชั้นกว่านั้น เพราะมันคือการใช้เงินได้แบบไร้กังวลตลอดไป
เพราะฉะนั้น “อิสรภาพทางการเงิน” ก็คือการที่เรามี Passive Income มากกว่าไลฟ์สไตล์ สองอย่างนี้จึงต่างกันที่ Quality หรือประเภทของเงินนั้นเองครับ
ทุกวันนี้เราใช้มือถือยี่ห้อธรรมดาๆ แค่รับสายกับโทรออกได้ก็พอแล้ว แต่เราก็ใช้ไอโฟน ขับวีออสก็ไปถึงที่หมาย แต่เราก็เลือกขับเบนซ์ ก็เพราะมันคือไลฟ์สไตล์ไงครับ แต่เราจะซื้ออะไรมันก็ต้องอยู่ในงบประมาณการใช้จ่ายว่าอยู่ในระดับไหน ซึ่งผมเรียก มันว่า “ไลฟ์สไตล์”
ผมอยากให้คุณลองจดรายการที่คุณต้องใช้ มาทั้งชีวิตว่ามีอะไรบ้าง เช่น ค่ากิน ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าน้ํา ค่าไฟ ให้พ่อให้แม่เท่าไหร่ จุดมาว่ารวมๆ แล้วต่อเดือนเท่าไหร่
บางคนอาจจะได้รายจ่ายออกมา 9 แสนบาท โดยที่มีรายรับ 1 ล้านบาท สรุปว่าเหลือเงิน 1 แสนบาท
ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วครับ
แต่ผมถามต่อว่าแล้วเดือนหน้าจะต้องเก็บเงินอีกมั้ย แล้วปีหน้าล่ะ? 5 ปีข้างหน้าล่ะ? 10 ปี? 30 ปี? คําตอบก็คือ ยังไงก็ต้องเก็บ เพราะว่ามันหยุดไม่ได้
ชีวิตแบบนี้จึงหยุดไม่ได้ทั้งกายทั้งใจ
ผมเคยเจอคนที่มีเงิน 50 ล้านบาท บางคน บอกว่ามีขนาดนั้นน่าจะหยุดได้แล้ว แต่เค้าคนนี้ก็ยังทํางานต่อ ถามว่าทําไม? คําตอบก็คือ ทุกคนมี “จุดอุ่นใจ” เช่น สมมติว่าคนนี้มีจุดอุ่นใจว่า ถ้าเขามีเงินเก็บ 50 ล้านบาทเขาจะรู้สึกว่าปลอดภัย
ปรากฏว่าผ่านไปไม่ถึงปี ลูกมาขอเงินชื้อรถ 5 ล้านบาท ตอนนี้เขาก็มีเงินเหลือ 45 ล้านบาท เดือนถัดมาลูกอีกคนมาขอเบ็นซ์อีกคันเลยเหลือเงิน 40 ล้านบาท มาถึงตรงนี้คนเป็นพ่อก็จะเริ่มไม่อุ่นใจ พอไม่อุ่นใจแล้วทําไง? ก็ต้องหาเงินเพิ่ม กลายเป็นว่าไม่มีวันหยุด หยุดไม่ได้
จุดอุ่นใจของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคน 10 ล้านก็อุ่นใจ บางคน 50 ล้านอุ่นใจ แต่บางคนต้อง 100 ล้านถึงจะอุ่นใจ คือไม่มีใครเหมือนกัน
แต่ที่เหมือนกันก็คือ “ไม่มีวันหยุดหาเงินได้”
ในทางตรงข้าม ถ้าคุณรู้โจทย์แล้วว่าไลฟ์สไตล์ในแบบของคุณ ต้องใช้เงินเดือนละ 9 แสนบาท แล้วคุณมี Passive Income เดือนละ 1 ล้านบาท แบบนี้สิที่เรียกว่า “หยุดได้”
เพราะฉะนั้นคุณจึงต้องคิดออกมาก่อนว่า “ชีวิตที่ยอดเยี่ยมในแบบของคุณ” มันต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ บางคนเดือนละ 3 แสนบาท บางคน 5 แสนบาทก็พอแล้ว
แต่ถ้ามี Passive Income ไม่ว่าจะมาก จะน้อย ความกังวลในชีวิตจะหายไป
Passive Income เป็นอะไรที่ทุกคน “จําเป็น” ต้องมี ไม่ใช่แค่ควรจะมี เพราะมี Passive Income น้อยก็เหนื่อยมาก มี Passive Income มากก็เหนื่อยน้อย
และถ้ามีมากถึงจุดๆ หนึ่ง คุณก็จะหยุดทํางานได้ทันทีตลอดไป หยุดทั้งกายทั้งใจ
ลองนึกดูสิว่า ถ้าวันนึงคุณโชคร้ายโดนเมียแพ่นกบาลเพราะจับได้ว่ามีกิ๊ก เลยต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวที่โรงพยาบาล แล้วโชคดีที่คุณยังมี Passive Income สมมติว่าแค่เดือนละ 10,000 บาท แต่อย่างน้อยมันก็ยังจ่ายค่าน้ําค่าไฟได้ แม้คุณจะไม่ได้ทํางานก็ตาม แบบนี้เครียดน้อยลงมัยครับ?
แล้วถ้ามี Passive Income เดือนละ 100,000 บาทล่ะ แล้วถ้าเดือนละ 1,000,000 บาทล่ะ? มีอะไร ต้องเครียดมั้ย? ไม่มีทางแน่นอน แต่จะไปเครียดอีกทีตอนออกจากโรงพยาบาลแล้วโดนเมียสอบสวน ฮ่าๆๆ)
*** เพราะฉะนั้นย้ำอีกทีครับว่า Passive Income เป็นอะไรที่ทุกคน “จําเป็น” ต้องมี! ***
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นี่คือบทความส่วนหนึ่งของหนังสือ เหนื่อยชั่วคราวสบายชั่วโคตร ถ้าคุณกำลังมองหาหนังสือที่จะทำให้คุณ
ตอบโจทย์ของคำว่า "การเกษียณที่รวดเร็ว" พร้อม "อิสรภาพการเงิน" ได้อย่างตรงใจ หนังสือเล่มนี้จะเป็นคำตอบที่คุณต้องการครับ
สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://www.stock2morrow.com/publishing/bookdetail.php?id=136