#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

HOT NEWS : เงินบาทแข็งค่าผันผวน กระทบธุรกิจส่งออก

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
122 views

วันที่ 13 มิ.ย.2562 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.2562 อยู่ที่ 95.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนเม.ย.ที่อยู่ที่ 95.0 เป็นผลจากการขยายตัวของการบริโภคในประเทศ ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า การพิมพ์และเยื่อกระดาษ รวมถึงโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ส่งผลให้อุตสาหกรรมก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัว

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการมีความกังวลต่อการชะลอตัวของภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการแข็งค่าของเงินบาท

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานส.อ.ท. กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลควรเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการด้านภาษี เช่น ช้อปช่วยชาติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อในประเทศ รวมทั้งเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้า ไทย – อียู เพื่อขยายตลาดการค้า การลงทุนระหว่างกัน

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics คาดการณ์กำไรของธุรกิจส่งออกจะหายไปราว 6.6 หมื่นล้านบาท ผลจากทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทจนถึงสิ้นปี 5% เป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมจากแนวโน้มส่งออกที่ชะลอตัวลง

ภาพรวมมูลค่าส่งออกไทยยังคงอ่อนแอ จากตัวเลขการส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปีลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 4% (ไม่รวมทองคำและอาวุธ) นอกจากนี้ธุรกิจส่งออกไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของทิศทางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศคู่ค้าสำคัญต่างๆ อาทิ จีน ยุโรป ฯลฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลกที่อยู่ในระดับสูง

ขณะที่การเปลี่ยนท่าทีของธนาคารกลางหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยูโรโซน และญี่ปุ่น มีแนวโน้มไปในทางผ่อนคลายมากขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทยต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยหนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้สิ้นปี 2562 คาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอยู่ที่ 31.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือแข็งค่า 5% จากปลายปี 2561

บาทแข็ง

ศูนย์วิเคราะห์ฯ ประเมินผลกระทบของค่าเงินบาทต่อรายได้ของธุรกิจไทย โดยสรุปแล้วทั้งปี 2562 ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น 5% จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ของผู้ประกอบการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ -3.2% ไปถึง 4.9% หรือคิดเป็นกำไรที่หายไปประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท (ตามรูป) ซึ่งแยกผลกระทบค่าเงินต่อธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่

1.ธุรกิจที่เสียประโยชน์ พบว่า ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก จะได้ผลกระทบมากที่สุดจาก ทำให้รายได้ผู้ประกอบการหายไปกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น ลดลงจากระดับปกติ 0.3 - 3.2% กลุ่มธุรกิจที่ถูกกระทบมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางพารา อาหารทะเล เนื้อสัตว์ และเครื่องประดับ

2.กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ คือ ธุรกิจขายในประเทศและนำเข้าวัตถุดิบเป็นหลัก ค่าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้ค่าใช้จ่ายจากการนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบที่เป็นเงินต่างประเทศน้อยลง 6.2 หมื่นล้านบาท และส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นจากระดับปกติกว่า 0.3-4.9% ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ ได้แก่ เครื่องจักร/ชิ้นส่วน เหล็ก/โลหะ เวชภัณฑ์/เครื่องมือการแพทย์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและสิ่งทอต่างๆ

3.กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ คือ ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออก แต่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วยลักษณะของตัวธุรกิจเอง(Natural Hedging) กลุ่มธุรกิจดังกล่าว ได้แก่ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องดื่ม และเคมีภัณฑ์

กล่าวโดยสรุป ทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปีนี้ จะสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจที่ต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกที่ต้องใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาอื่นๆที่รุมเร้าอยู่แล้ว เช่น ระดับราคาสินค้าที่อยู่ในระดับต่ำ ตลาดโลกซบเซา การแข่งขันจากประเทศอื่น มีความจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มทางเลือกในการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่เรื่องเปิดตลาดใหม่ๆ ทำผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม จนไปถึงการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาศักยภาพการทำกำไร และยังคงมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศต่อไป


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง