ปิดยอดซื้อขายหุ้นไทยเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 40% มูลค่าต่อวันกว่า 5.8 หมื่นล้านบาท หลังดัชนี MSCI ปรับน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย กลุ่มมีเดียได้อานิสสงส์มาตรการเยียวยากสทช.หนุนหุ้นพุ่ง
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์สำหรับเดือนพฤษภาคม 2562 ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2562 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ 1,620.22 จุด เพิ่มขึ้น 3.6% จากสิ้นปีก่อน ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน แต่ปรับลดลง 3.2% จากสิ้นเดือนก่อน มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในเดือนพฤษภาคม 2562 อยู่ที่ 58,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากเดือนก่อน โดยผู้ลงทุนต่างประเทศมีสถานะซื้อสุทธิในเดือนนี้
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กรณีที่ MSCI ปรับน้ำหนักหุ้นในรอบเดือนพฤษภาคม 2562 ส่งผลให้น้ำหนักหุ้นไทยและจีนเพิ่มขึ้นในดัชนี MSCI ทำให้ผู้ลงทุนต่างประเทศและผู้ลงทุนสถาบันปรับพอร์ตการลงทุนโดยซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย
สำหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2562 ปิดที่ 1,620.22 จุด เพิ่มขึ้น 3.6% จากสิ้นปี 2561 โดยกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างให้ผลตอบแทนมากกว่า SET Index โดยในเดือนพฤษภาคม 2562 ผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย 3,752 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในเดือนพฤษภาคม 2562 อยู่ที่ 58,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากเดือนก่อน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกที่สำคัญได้แก่การยกระดับการตอบโต้ในสงครามการค้าของทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในเอเชียปรับตัวลดลงในเดือนพฤษภาคม ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อน ซึ่งลดลงน้อยกว่าตลาดเอเชียส่วนใหญ่
ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 10 มิ.ย.2562 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามคาด จากการคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้า หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เลื่อนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเม็กซิโกอีก 5% ออกไป จากกำหนดเดิมในวันนี้ (10มิ.ย.) โดยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิกว่า 1,300 ล้านบาท และหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ PTT PTTEP AOT PTTGC และ CPALL
ขณะที่หุ้นกลุ่มมีเดีย ได้รับอานิสสงส์จากแผนเยียวยากรณีการขอคืนช่องทีวีดิจิทัลของกสทช. โดยบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง คาดว่าแนวโน้มรายได้ของกลุ่ม WORK และ BEC จะกลับมาฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากต้นทุนที่ลดลงและแนวโน้มเม็ดเงินโฆษณาที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น