มองกราฟให้เหมือนมองชีวิต
“ไม่มีเวลา” เป็นคำที่หลายคนมักยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างเมื่อเราเลือกที่จะไม่ทำบางอย่าง และ “ยังมีภาระอย่างอื่นที่ต้องทำอีกมาก” เป็นประโยคถัดมาเพื่อย้ำการปฎิเสธที่จะไม่ทำสิ่งนั้นโดยสมบูรณ์ คนเราหนึ่งคน จะมีหน้าที่ได้ซักกี่อย่างกันนะ? หน้าที่ในสถานะที่เป็นลูก เป็นแม่ เป็นภรรยา เป็นคุณหมอ เป็นอาจารย์ และเป็นทหาร เพื่อนๆ คิดว่าทั้งหมดนี้จะถูกรับผิดชอบในคนคนเดียวได้ไหมคะ? และนอกจากบทบาท หน้าที่ทั้งหมดที่พูดถึงไปแล้วนั้น ยังต้องเพิ่มบทบาทการเป็น “นักลงทุน” เข้าไปด้วย เพราะ My Way My Investment EP.17 ในครั้งนี้ เราได้คุยกับ คุณหมอนุ้ย พันเอกแพทย์หญิง ศิรินทิพย์ ทรงวุฒิวิชัย คุณหมอมาบอกเล่าประสบณ์การลงทุนในแบบฉบับของเธอกัน
หากใครได้ติดตามโปรเจกต์ My Way My Investment ที่พวกเราชาว Stock2morrow ตั้งใจทำขึ้น #เพราะเราเชื่อว่าทุกอาชีพลงทุนได้ มาตั้งแต่ EP. แรกๆจะเห็นว่ามีหลายท่านที่ให้สัมภาษณ์ ในอาชีพ “แพทย์” ซึ่งบทความนี้ จะเป็นอีกครั้งหนึ่งกับสายงาน #คุณหมอนักลงทุน แต่ที่จะต่างออกไปเพราะคุณหมอท่านนี้ไม่ได้แค่รักษาคนไข้เท่านั้น ยังเป็นคุณหมอทหาร และเป็นอาจารย์อีกด้วย แค่คิดตามก็ปวดหัวแล้วใช่ไหมคะ? ทั้งงานราชการทหาร งานรักษาคนป่วย แล้วไหนจะงานสอนนักศึกษาแพทย์อีกละ เชื่อว่าหลังจากที่ทุกคนได้อ่านบทความนี้จนจบ จะต้องเลิกพูดคำว่า “ไม่มีเวลาสำหรับการลงทุน” แน่นอนค่ะ
“เงินเดือน 50,000 บาท กับอีก 20 ปีข้างหน้าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปชีวิตมันอยู่ไม่ได้แน่ๆ”
คำบอกเล่าของคุณหมอที่เป็นจุดเริ่มต้นของเธอกับความคิดเริ่มลงทุน หมอนุ้ยเริ่มต้นการลงทุน ด้วยการอ่านหนังสือ และเข้าฟังสัมมนาเหมือนนักลงทุนคนอื่นๆ แต่ที่ดูจะฮาร์ดคอและหนักเอาการในความรู้สึก คือเธอเล่าให้ฟังว่า เธอหยิบหนังสือที่มีหน้าปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทุกเล่มที่มีในซีเอ็ดบุ๊คมานั่งอ่าน เพราะต้องการรู้จักตลาดที่โตมาก่อนตลาดการลงทุนในไทยอย่าง SET หลังจากทำความรู้จักปู่วอร์เรนแล้ว ถ้าดูดีๆ ปู่วอร์เรนคือคนลงทุนแบบการลงทุนระยะยาว แต่วิธีการอาจจะยังใช้ไม่ได้กับตลาดในไทย เป็นเหตุผลที่ทำให้หมอนุ้ยเลือกที่จะหยิบหนังสือของ ดร.นิเวศน์ มาตาม
อย่าเข้าใจผิดว่า ปู่วอเรนซื้อแล้วไม่เคยขายเลย จริงๆแล้วเขามีระบบ มีการบริหารเงินสดของเขาเอง การลงทุน 100% ในหุ้นทั้งหมดของเขามันคือการลงทุนใน Asset หุ้น ไม่ใช่อยู่ในตัวหุ้นทั้ง 100% ตลอดเวลา บางทีเขาก็ถือเงินสด มันเป็นวิธีการบริหารเงินของปู่เขา
ใจความสั้นๆที่หมอนุ้ยสรุปให้เราฟังหลังจากที่อ่านหนังสือของ ปราชญ์แห่งโอมาฮา อย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์มาแทบจะทุกเล่ม ขณะที่กำลังอึ้งและคิดตามที่หมอนุ้ยพูดอยู่นั้น ถ้าอยากจะเข้าใจตลาด จนเก่งแบบผู้หญิงที่กำลังให้สัมภาษณ์อยู่ตรงหน้า ต้องอ่านหนังสือของปู่ วอร์เรนทั้งหมดเลยงั้นหรอ? หมอนุ้ยก็พูดประโยคถัดมา เหมือนจะเป็นเคล็ดลับ หรือแก้จุดบอดที่หลายๆคนอาจจะกำลังเป็นในการลงทุนเหมือนๆกัน
หมอว่าจริงๆแล้วน้องๆ หรือพี่ๆนักลงทุนหลายๆคนนะ เก่งแล้วมีความรู้ มีเทคนิควิธีการลงทุนที่ดี และ เก่งกว่าเรามากๆ แต่สิ่งสำคัญคือการบริหารพอร์ตของตัวเราเอง เรื่องการบริหารเงินสดกับหุ้นที่เราจะลง อันนี้แหละที่ยาก แต่ละคนไม่เหมือนกันและสอนกันไม่ได้
Q : เข้าใจว่าอาชีพหมอ หาเงินได้เยอะอยู่แล้ว ทำไมหมอนุ้ยถึงเลือก การลงทุนในหุ้น เป็นวิธีการเงินเก็บเพื่ออนาคต และมีการแบ่งเงินเพื่อเป็นการออมอย่างไรบ้าง?
อาชีพหมออาจจะเป็นอาชีพที่ได้เงินเยอะจริงนะ แต่หมอเองก็ใช้เงินเยอะเหมือนกัน เงินที่ได้จาก Active เนี่ยแหละ ก็เงินเยอะจะตาย ความรู้สึกคือต่อให้เอาไปใช้ เดี๋ยวเงินก็เหลือค่อยเอามาลงทุนก็ได้ อันนี้คือความคิดเมื่อก่อน แต่เดี๋ยวนี้คือไม่ทำแบบนั้นแล้ว จาก 100% ต้องแบ่งให้ตัวเองในอนาคตก่อน 10% ต่อเดือนลงทุนเพื่ออนาคตอันนี้หมอลงในตลาดหุ้น, 15+15%ต่อปีลง RMF กับ LTF และ 10% ของรายได้ต่อปีลงในประกันค่ะ ส่วนที่เหลือนอกนั้นก็ใช้หมดนะจ๊ะ และใช้แบบเละเทะด้วย (หัวเราะ) เราโชคดีที่ไม่ต้องจ่ายเรื่องเงินของลูกและครอบครัว คนที่เหนื่อยคือสามี กลายเป็นว่าสามีคือคนที่ต้อง Earn (หาเลี้ยงชีพ) ให้ได้เยอะ แต่ก็ไม่ต้องห่วงอะไรเขา เพราะเขาลงทุนอยู่แล้ว แต่เขาไม่เคยสอนอะไรเรานะ พอเขาเห็นเราเริ่มอ่านหนังสือ เริ่มสนใจจริงๆ เขาก็ชวนเราไปสัมมนา ตอนที่เลือกลงทุนหุ้น คือมองแค่กราฟเลยนะ เวลามองกราฟของสินทรัพย์ที่เสี่ยงนะ ให้มอง 10 Years Period ไปเลยนะ ทุกตัวมันเป็น Slop ชันขึ้น ไปดูดีๆ ในกราฟ 1 อันใครจะมองอะไรก้ได้ ใครจะเห็นอะไรก็ได้ แต่อยากให้คิดว่า จริงๆแล้วเราทุกคนที่ทำงานแล้วสะสมเงินในทุกวันนี้คือกลัวว่าตัวเองตอนที่บั้นปลายไม่มีงานทำหรือต้องเกษียนจะเป็นยังไง จะอยู่ยังไง คือให้มองหลักนั้นก่อนไหม ไปมองยาวๆก่อน ยังไม่ต้องมองว่าวันนี้จะได้อะไร มองยาวๆก่อน คิดดีๆ แล้วระยะสั้นจะตามมาเอง
Q : เลือกหุ้นอย่างไร มีเทคนิคอะไรที่คุณหมอใช้บ้าง
หุ้นคือธุรกิจ แล้วมันเป็นวัฎจักร ชอบมากเลยหน้ารายชื่อหุ้น A-Z จาก Set.or.th เข้าไปอ่านทั้งหมด แล้วก็อ่านข้อมูลอ่านตรงสรุปสารสนเทศด้วย มันทำให้รู้ว่าแต่ละธุรกิจเขาทำอะไร เราอยากรู้อ่ะ ตอนนั้นอ่านๆไปมันก็สนุกดี มันไม่ได้ยากนะ คือไม่ได้ดูแค่งบการเงินเท่านั้น เราอยากรู้ว่าเขาทำอะไร ประกอบธุรกิจประเภทไหน ซึ่งเราก็เอามาวิเคราะห์ในแบบความเป็นหมอนะ ไม่ได้คิดในรูปแบบที่นักธุรกิจเขาวิเคราะห์กันเท่าไหร่ คือเราไม่ได้คิดว่าเราต้องได้เงินในปีนี้อ่ะ ก็ลงๆไปแต่ต้องมั่นใจว่าบริษัทจะไม่ล้มนะ แต่เท่าที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีบริษัทไหนล้มเลย บางครั้งก็มีไปฟังสัมมนาบ้าง เพราะอยากได้ Keyword ไม่ใช่ Keyword แบบที่ว่าตัวไหนดีนะ แต่เป็นพวกข้อมูลว่า ธุรกิจนี้กำลังจะทำอันนี้ ขยายธุรกิจอะไรเพิ่ม แบบนั้นตั้งหาก แล้วเราก็เอามาคิดต่อว่ามันจะจริงไหม พวกเทคนิค การประเมินราคาที่เหมาะสมเป็นอะไรที่เรากลุ้มใจมาก คือมีสูตรอะไรกัน แบบหลายสูตรมาก ที่เคยลองคิดตามแต่ละสูตรทั้งหลายของแต่ละคนนะ บางที่มันอาจจะตกมากกว่านั้นอีกมาก ก็เลยคิดว่าเราไม่เอาดีกว่า จริงๆเราไม่ค่อยฟังนักวิเคราะห์ไทย อย่าโกรธกันนะ คือบางครั้งนักวิเคราะห์ไทยก็คือจะพูดเก่ง แต่เราอยากดูสไลด์ ไม่ได้เพื่อว่าต้องการหลักฐานนะ แต่บางทีเราต้องดูรูปแล้วคิดเอง เราต้องเห็นภาพเอง
Q : 10 ปีที่ผ่านมา กับวันนี้ การลงทุนต่างกันไหม เปลี่ยนไปยังไงบ้าง แล้วตอนนี้แบ่งพอร์ตยังไง
ต่างเมื่อก่อนจดหมดทุกเม็ด มีขีดมีไฮไลท์ เหมือนตอนเด็กสมัยเป็นนักเรียนเลย วิธีการเริ่มคือ ลงไปก่อนน้อยๆ เพื่อให้เราดูวงจรของหุ้นตัวนี้ ถ้าเราไม่ลงเราก็จะไม่ได้เห็นวัฎจักรของมัน เมื่อก่อนเป็นแบบนี้แหละ ลงเลย แล้วก็ผิดตลอดนะ ลงเพื่อดูว่าเวลาตลาดมันตก หุ้นตัวนี้มันตกได้เท่านี้เลยนะ เวลามันสูงมันได้เท่าไหร่ เหมือนดูเองมากกว่าไม่ได้ใช้สูตรอะไร เทคนิคคือ ซื้อไปเลยน้อยๆนะ ให้เราดูวงจรของมัน ตอนนี้คือลงทุนทั้งพอร์ตไทยและต่างประเทศ ถ้าเป็นเมื่อก่อน พอร์ตไทยจะเยอะกว่าเพราะเราคุ้นชินมากกว่า แต่เดี๋ยวนี้ก็เท่ากันนะครึ่งๆ ตลาดต่างประเทศไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ ก็งบการเงินนั่นแหละถ้าอ่านเป็นมันก็คือคำเดิม แค่เปลี่ยน Wording ภาษาอังกฤษแค่นั้น มันมีหลาย Broker พาไปเปิดนะในตลาดต่างประเทศ ก็ลองดูก็ได้ แต่มือใหม่ไม่เอานะ ถ้าไทยยังเจ๊งก็อยู่ไทยไปก่อน เรียนรู้จากที่ขาดทุนมันจะค่อยๆดีขึ้น
Q : เท่าที่คุณหมอเล่าให้ฟัง ก็เหมือนว่าจะเคยผิดพลาดมาเยอะ ได้บทเรียนอะไรบ้าง แล้วปรับเปลี่ยนพอร์ต วิธีการคิด และวิธีการเล่นยังไง?
เคยลงมาเกือบทุกสินทรัพย์ ก็ทำให้รู้ว่าถ้าเราไม่รู้จักทุกสินทรัพย์นั้นๆที่เราลง ก็คือไม่เหลืออะไรเลยนะ
งงมากด้วย ทอง น้ำมัน อสังหาฯ คืออะไร เวลาขึ้นตอนไหน ลงอะไรกัน แต่ถ้าไม่คิดมาก ถ้าให้ผู้เชี่ยวชาญดูนะมันก็โอเค แต่ถ้าเราใส่ใจและศึกษาเอง แล้วเรามาดูพอร์ตตรงนั้นของเราเอง เราจะได้เต็มๆ หมอก็ลงทุนหุ้นนั้นแหละ 100% แต่เลือกที่จะจัดสรรในตัวหุ้น ให้มีทั้งที่เสี่ยงและไม่เสี่ยง กระจายความเสี่ยงแต่ก็ไม่ได้กระจายเยอะ เอาที่เราดูไหว เลือกลงทุนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม ปีนี้ลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ ปีหน้าไม่ใช่แล้ว เพราะธุรกิจที่จะโตแต่ละปีมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางที 6 เดือนด้วยซ้ำ
Q : คุณหมอเป็นสายลงทุนระยะยาว ดูใจเย็น สำหรับคนไฟแรงหรือมือใหม่เพิ่งเข้าตลาด บางทีเห็นคนลงทุนหุ้นแล้วได้เงินเยอะ อยากเล่นอยากเทรดบ้าง เหมือนใจร้อน จะแก้ยังไงดีคะ?
ถ้าอยากได้เลย ได้เร็ว ไปเล่นหวย เสี่ยงไปเลย อย่าเอามาลงที่สินทรัพย์นี้เลย หุ้น เสี่ยงไหม เสี่ยงนะ ได้แต่ช้า อย่างที่บอกไป ใน 1 กราฟใครจะมองแล้วเห็นอะไร ตัวที่เสี่ยงพอมองระยะยาว Slope มันขึ้นใช่ไหม แต่ไอ้ตัวที่ไม่เสี่ยงเลยคือสโลปไม่ขึ้นเลย อันนี้คือสิ่งที่หมอเห็นนะมองกราฟให้เหมือนมองชีวิตนะ ทุกคนอยากมีชีวิตที่ยืนยาวใช่ไหม ถ้าบอกว่าให้ตายวันนี้เอาไหม ทุกคนก็พูดเหมือนกันหมด ขออยู่อีก 20-30 ปีเถอะหมอ ก็ไปมองกราฟแบบนั้นแหละ และทุกคนทำได้แน่นอน อย่ามองให้มันตรงข้ามกัน เวลาลงทุนอยากได้เร็ว แต่ชีวิตอยากอยู่ยาว มันไม่ใช่นะ มองให้เหมือนกันสิเพราะจริงๆ เราเองก็ลงทุนเพราะว่าต้องอยู่ไปอีกนานไม่ใช่หรอ
Q : ที่คุณหมอเล่าให้ฟัง เริ่มลงทุนเพื่อหาทางออกเพื่อที่จะเลิกทำงานได้ในวันหนึ่งใช่ไหมคะ? ตอนนี้ก็เหมือนจะมีเงินลงทุน มีกองที่เติบโตแล้ว ทำไมยังทำงานอยู่? แล้วก็ยังเลือกที่จะเป็นทั้งหมอ เป็นทหาร เป็นอาจารย์ หน้าที่ความรับผิดชอบเยอะมากทีเดียว มันทำให้เราไม่มีเวลาไปลงทุนหรือเปล่า
เราไม่เคยคิดว่าเราจะเลิกทำงานเป็นหมอนะ ไม่ได้คิดว่าถ้าหาเงินได้เท่าไหร่แล้วจะเลิกทำงาน เงินไม่เคยได้เป็นตัวตั้งในการดำเนินชีวิตเลย ไม่เคยคิดแบบนั้นนะ เหนื่อยเรียนมาตั้งเยอะ เรียนมาเป็นสิบๆปี แล้วทำไมต้องเลิกใช้สมองละ แต่มันก็คงมีซักวันหนึ่งที่เลิกทำเพราะร่ายกาย หรืออะไรมันก็คงไม่เอื้อ แต่ก่อนที่จะเลิกก็ต้องสร้างเด็กรุ่นใหม่ๆ ให้มาต่อยอดให้ได้ก่อน ตอนนี้ไม่ได้มองว่าตัวเราเองต้องได้อะไร แต่เราก็ยังทำงานอยู่เพราะเราอยากให้มีรุ่นน้องๆ มาสานต่อมีหมอที่มีจิตใจที่ดีต่อคนไข้ ถึงเข้ามาเป็นกรรมการสอบวอร์ด เป็นอาจารย์หมอแบบนี้ ไม่ได้คิดว่ามาทำงานตรงนี้แล้วจะต้องได้เงินเพิ่มขึ้นอะไรแล้ว แต่ทุกคนนะ 10 ปีแรกของการทำงาน ทุกคนก็ต้องทำแบบนั้นแหละ เหนื่อยเพื่อเงินทำงานเพื่อเงินกันทั้งนั้น เราต้องยอมรับตัวเองมันเป็นวงจรแบบนี้แหละ จะมีเงินเยอะตั้งแต่วันแรก ปีแรกที่ทำงานมันก็ไม่ใช่ ก็ทำงานแล้วลงทุนควบคู่กับไป เราลงทุนก็เพื่ออนาคต เงินในอนาคตอย่าบอกว่าเราไม่ได้ใช้นะ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเป็นยังไงในวันข้างหน้า แต่ถ้าเราไม่ทำไว้ เราจะเสียใจมากนะถ้าเรายังดำเนินชีวิตต่อ เราจะอยู่อย่างไร ทำไปเถอะที่ละนิด จริงๆมันก็แค่ 10%เองนะ ตัดก่อนใช้ บางเดือนอาจจะรายได้เยอะเพราะว่าเราอยู่เวร แต่ก็คือตัดไปก่อนเลย 10% บางคนคิดว่าพออายุมากขึ้น ไม่ใช่ว่าได้เงินเยอะขึ้นนะ น้อยลงต่างหากเพราะว่าอยู่เวรได้น้อยลงไง ถ้าเป็นอาจารย์เป็นที่ปรึกษาอาจจะได้เยอะขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ก้าวกระโดด ส่วนลงทุนเราไม่ได้ใช้เวลาต่อวันมากอยู่แล้วเพราะไม่เคนเล่นเทรดเลย มันเสียเวลา ไม่รู้ว่าจะได้อะไร แต่ไม่ใช่ว่าซื้อแล้วไม่เคยขายนะ ขายด้วย ต้องจัดการให้เป็น ซื้อ-ขายหุ้นเป็นเรื่องต้องศึกษา
Q : บอกอะไรถึงคนยังไม่เริ่มลงทุนหน่อยค่ะ
สำหรับทุกคนที่ยังไม่กล้า เราก็เข้าใจนะ อย่างอาชีพหมอคือทำงานเยอะแล้วก็ได้รายได้เยอะ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้มันสำคัญ แต่นั้นคือเราจะทำงานจนไม่มีวันสิ้นสุดเลยนะ ไม่มีจุดที่ต้องบอกว่าตอนนี้ต้องพอได้แล้วมันเหนื่อย แต่ถ้าเราลงทุน เราจะรู้ว่าเราต้องทำงานประมาณนี้ เราจะมีกองที่เราไว้เติบโต ขอเล่าเรื่องของคุณพ่อของหมอเองค่ะ ป๊านะ เป็นคนทำงานทนมาก เก็บตังเก่งใช่ไหม ตอนนี้ป๊าต้องมานั่งถามว่า ทำงานเก็บตังมาทำไมเยอะแยะ คือชีวิตเขาก็สบายนะ แต่คำถามคือทำไมต้องทำงานหนักขนาดนี้ ก็เพราะชีวิตไม่เคยวางแผนไงว่าตัวเองทำงานแค่ไหนถึงพอแล้ว จริงๆ มันไม่ต้องมาเหนื่อยขนาดนี้ก็ได้ คนสมัยก่อนไง ชีวิตก็ต้อง Fight มากๆเพราะว่าไม่เคยวางแผน แบ่งสัดส่วน 100% ของเงินยังไง ออมอย่างเดียว ทำงาน หาเงิน เก็บตังเท่านี้เลย หรืออย่างหมอมีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ต้องเข้าใจพื้นฐานของคนที่ยังไม่เริ่มก่อน อย่างเราอยู่ราชการใช่ไหม เขาก็เห็นว่าเราทำอะไร เราลงทุนอยู่ เราเก็บเงินตามวินัยของเราเอง เขาก็เห็นทุกอย่างแต่เขาก็ไม่ทำตามนะ เราไม่ได้โกรธ หรือไปบังคับอะไร แต่พอถึงจุดที่เขารู้สึกเอง คิดขึ้นมาได้เอง แล้วเขาจะอยากลงทุน จังหวะที่เขาเดินเข้ามาแล้วถามเรา บางคนไม่อ่านหนังสือหรืออะไรมาก่อน แค่ก้าวเข้ามา แล้วถามแค่ผิวๆทำความรู้จักการลงทุนแค่นั้น ทุกคนพูดเหมือนกันเลยว่า เสียดาย เขาน่าจะลงทุนตั้งแต่เริ่มมาทำงานกับหมอ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 5 ปีที่แล้ว ถ้าเขาเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้เขาน่าจะมีอะไรไปบ้างแล้ว และไม่ต้องกังวลกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง