เป็นข่าวกันมานานเรื่องของการเก็บภาษีกองทุนตราสารหนี้ ในที่สุดก็ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว กรมสรรพากรประกาศเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก โดยเฉพาะคนที่ลงทุนตราสารหนี้จะได้เสียภาษี 15% กันแล้ว

เราลองมาฟังความเห็นกูรูกันครับว่าเขามีมุมมองเรื่องนี้อย่างไร และเราจะจัดพอร์ตปรับกลยุทธ์อย่างไรดี ..

== เรื่องราวเป็นอย่างไร ==
ราชกิจจานุเบกษา ประกาศใช้พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) พ.ศ. 2562 โดยมีสาระสำคัญว่า หลังจากออกประกาศนี้ 90 วัน กองทุนรวมเมื่อมีรายได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ ต้องเสียภาษี 15% จากเดิมที่ไม่เคยเสียภาษีมากก่อน

ทั้งนี้ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2562 จะมีผลบังคับใช้ใน 90 วันหลังจากนี้ (ประมาณกลางเดือน ส.ค. 2562) แต่จะไม่มีผลย้อนหลังกับกองทุนตราสารหนี้ โดยทางกรมสรรพากรประเมินว่าจะจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 1,600-2,500 ล้านบาท

นอกจากนี้เมื่อรัฐเร่ิมเก็บภาษีจากกองทุนรวมตราสารหนี้จะส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนรวมลดลง เช่น กองทุนรวมแห่งหนึ่งมีผลตอบแทนจากตราสารหนี้ 1,000 ล้านบาทต้องเสียภาษีให้รัฐ 150 ล้านบาท ส่งให้ผลตอบแทนของผู้ถือกองทุนได้ลดลง แต่ประชาชนที่ซื้อกองทุนรวมไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตามเมื่อประชาชนมีรายได้จากช่องทางใดก็ตาม มีหน้าที่ต้องแจ้งและเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาให้กรมสรรพากรอยู่แล้ว เช่น เงินปันผลจากหุ้น กองทุนรวม รายได้จากค้าขาย ฯลฯ

== กูรูมองอย่างไร ==
บล.เอเซีย พลัส แสดงความเห็นว่า ในประเทศไทยมีกองทุนอยู่ทั้งหมด 1,649 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินรวมมากกว่า 5.06 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนตราสารหนี้ ถ้าถูกเรียกเก็บภาษีจะมีสัดส่วนสูงถึง 48% ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือมีมูลค่ากว่า 2.43 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 15.2% ของจีดีพีประเทศ นักลงทุนอาจจะเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปหาทรัพย์สินอื่นที่สร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า เช่น หุ้นปันผลสูง, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนอสังหาริมทรัพย์.

นายกฤษณ์ ณ สงขลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กรุงไทย (KTAM) แสดงความเห็นว่า เรื่องของการขึ้นภาษีไม่น่าจะมีผลกระทบเยอะ อยากให้นักลงทุนมองว่ารายได้ที่เกิดจากกองทุนตราสารหนี้จะมีส่วนต่างราคา (Capital gain)ที่เกิดจากการซื้อขายซึ่งส่วนนี้จะไม่เสียภาษี อย่างไรก็ตามแนะนำว่าให้เปรียบเทียบกับเงินฝากธนาคาร การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จะยังคงได้เปรียบกว่า

แฟนเพจ Taxbugnoms ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษี และมีคนติดตามเป็นจำนวนมากแสดงความเห็นว่า มีผลกระทบอย่างแน่นอน ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือผลตอบแทนของกองทุนลดลงตามไปด้วย นักลงทุนอาจจะหันไปลงทุนกองทุนที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และผลตอบแทนมากขึ้น เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนหุ้นมากขึ้น

นายโชติช่วง ธีรขจรโชติ ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนธนชาต แสดงความเห็นว่านักลงทุนตราสารหนี้รับความเสี่ยงได้น้อย การโยกย้ายไปยังกองอื่นจะมีทางเลือกไม่ได้มาก เชื่อว่าจะเพิ่มความเสี่ยงตัวเองให้มากขึ้นไปฝากเงินไว้ในกองทุนอสังหา อินฟราฟันด์ รวมถึงเงินฝากธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง แต่เงินในกองทุนตราสารหนี้มีขนาดใหญ่มาก กองทุนอสังหาอาจจะรองรับได้ไม่หมด

นายวศิน วณิชย์วรนันทต์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย ให้ความเห็นว่านักลงทุนยังมีเวลาเตรียมตัวประมาณ 90 วัน กฏหมายจึงบังคับใช้และผลกระทบจะลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่รุนแรง เพราะจะมีตราสารหนี้เก่าที่ไม่ถูกหักภาษีผสมกับตราสารหนี้ฉบับใหม่ที่เสียภาษี รวมถึงไม่แนะนำให้นักลงทุนตัดสินใจขายกองทุนตราสารหนี้ออกไป

นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย แสดงความเห็นว่าการจัดเก็บภาษีทำให้เกิดความเสมอภาคเท่ากัน ไม่แนะนำให้นักลงทุนขายออกไปเพราะการกลับเข้ามาลงทุนกองทุนตราสารหนี้ใหม่จะโดนจัดเก็บภาษี มองว่ากฏหมายที่ออกมาจะกระทบไม่มาก การลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้น จะโดนภาษีเงินปันผลไป 10% เท่ากับว่าเพิ่มขึ้นมาอีก 5% เท่านั้น

== สรุป ==
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าจะเกิดการจัดเก็บภาษี 15% อย่างแน่นอน ซึ่งหลายคนเชื่อว่าจะกระทบกับกองทุนรวมตราสารหนี้ไม่มาก แต่มีนักลงทุนบางส่วนอาจจะอยากปรับพอร์ตเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเองมากขึ้น โยกเงินเข้าลงทุนในกองทุนอสังหา กองทุนรวมหุ้น หรือแม้แต่หุ้นปันผลสูง

นี้ก็เป็นความเห็นจากกูรู้ ...

เพื่อนๆมีความเห็นอย่างไรบ้างกับการขึ้นภาษีกองทุนตราสารหนี้ 15% ครับ แล้วจะย้ายไปลงทุนสินทรัพย์อื่นหรือไม่ครับ ?

ขอบคุณแหล่งข้อมูล

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/067/T_0103.PDF

https://brandinside.asia/bond-tax/

https://www.thairath.co.th/news/business/finance-banking/1575616

https://www.posttoday.com/finance/stock/590022

https://www.hoonsmart.com/archives/57444