แนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (27-31พ.ค.62) ยังคงมีปัจจัยต้องติดตามทั้งภายในและภายนอกประเทศ แม้ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์และตลาดหุ้นยุโรปจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่า สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐจะจบลงโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภายในของสหรัฐไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวส่งสัญญาณไม่ดี เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐฯ ในเดือนพ.ค.ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.9 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 36 เดือน การปรับตัวลงของดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2555 เป็นต้น
สำหรับตลาดหุ้นลอนดอน เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 46.69 จุด หรือ +0.65% รับข่าวนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม โดยจะมีผลในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ด้วย
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ปิดตลาดเมื่อวันที่ 24 พ.ค. เพิ่มขึ้น 4.33 จุด อยู่ที่ 1,614.12 จุด มูลค่าซื้อขาย 55,153.38 ล้านบาท ต่างชาติซื้อเล็กน้อย 366 ล้านบาท ด้านสถาบันในประเทศขายออกสุทธิ 2,041 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจของไทย ปรับตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยจีดีพีไตรมาสแรก ขยายตัว 2.8% เนื่องจากการส่งออกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดการส่งออกของไทยในเดือนเม.ย.ติดลบ 4.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับคาดการณ์จีดีพีไทย อยู่ในกรอบ 3.3-3.8%
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ได้ปรับลดคาดการณ์ของการส่งออกของไทยปีนี้ เหลือขยายตัว 0.6% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 2.7% โดยปัจจัยสงครามการค้ายังคงมีความเสี่ยงสูง
สัปดาห์นี้ ต้องติดตามการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย และรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะมีการปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจตามสภาพัฒน์หรือไม่ โดยจะมีผลต่อบรรยากาศการซื้อขายภายในประเทศ และกดดันตลาดหุ้นของไทยสัปดาห์นี้ต่อไป