Jesse Livermore กล่าวไว้ว่า “มีอารมณ์ 2 อย่างในตลาด ได้แก่ ความหวัง กับ ความกลัว (Hope & Fear) ปัญหาก็คือนักลงทุนมักจะมีความหวังก็เมื่อตอนที่คนจะกลัวและมักจะกลัวตอนที่ควรจะหวัง”
เช่น หุ้นที่เรา ถือ ลงไปซัก 20% จากราคาซื้อแปลว่าเรากำลังเสียเงินแต่ทั้ง ๆที่รู้ว่ามันลงเราก็ยังไม่ยอมตั้ง จุด Auto Stop Loss ไว้ปล่อยให้มันลงมา ถึง 20% แล้วดัน Stop Loss นี่แหละครับปัญหาของนักลงทุนส่วนใหญ่และเรามักจะรอให้ราคากลับมาที่เดิม ทั้งที่จริงเรารู้อยู่แล้วว่าราคามันหลุดกรอบมาตั้งนานแล้วแต่เราก็ยังไม่ยอมที่จะ Stop Loss
จะทำอย่างไรดีกับความกลัว ?
จะจัดการกับอารมณ์นี้ได้นั้นก็คือการกำหนดจุดจำกัดขาดทุน (Cut Loss) ที่แน่นอนไว้ใต้ราคาซื้อ อาจจะกำหนดเป็น % ก็ได้ เช่น ถ้าซื้อแล้วราคาลง 10% เราก็ควรที่จะขาย ซึ่งจะเป็นการมั่นใจได้ว่าการลงทุนครั้งนี้ ถ้าผิดพลาดก็จะสร้างความเสียหายให้นักลงทุนมากที่สุด 10%
ต่อมาเวลาเรา Cut Loss ไปแล้วราคาดันกลับขึ้นมาเท่ากับทุนที่ซื้อไปหรือถึงขั้นมีกำไรอีกต่างหาก เสียดายใช่ไหมครับ ? เหตุการณ์แบบนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ จนบางทีการ Cut Loss อาจทำให้เราย้อนกลับมาคิดว่าควรทำดีหรือไม่ คำตอบคือ เราไม่มีทางที่จะรู้เลยว่าในอนาคตข้างหน้าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือ “การป้องกันความเสี่ยงในขณะที่เรายังทำได้” เหมือนเวลาทุกท่านทำประกันภัยนั่นแหละครับ เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีความเสี่ยงเกิดขึ้นมั้ย บางปีอาจไม่เกิดเลยแต่สิ่งที่เราทำได้คือการ ป้องกันความเสี่ยง
ยิ่งเราปล่อยไว้นาน ยิ่งทำคืนกลับมายาก พอรต์แต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน
- หากมูลค่าพอรต์เราลดลง 10% การจะสร้างกำไรให้พอรต์กลับมาโตเท่าเดิมนั้น ต้องสร้าง 11% จากเงินที่เหลือ
- หากมูลค่าพอรต์ลดลง 50% การจะสร้างกำไรให้พอรต์กลับมาโตเท่าเดิมนั้น ต้องสร้าง ถึง 100% จากเงินที่เหลือ
เห็นมั้ยครับทุกท่านการที่เราปล่อยให้พอรต์เราลงเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ทำอะไรเลยการจะกอบกู้พอรต์ให้กลับมากำไรมากกว่าเงินต้นที่เราเสียไปว่ายากขนาดไหน ? ดังนั้นเราควรวางแผนดี ๆ ควรกำหนดจุด Cut Loss ทุกครั้งอีกเรื่องที่สำคัญ Money Management ด้วยครับ ลองเอาไปใช้กันดูนะครับทุกท่านเชื่อว่า พอรต์ของทุกท่านจะทำกำไรได้ดีกว่าเดิมแน่นอนครับ