ประเทศจีนหลังจากที่พ่ายแพ้ต่อกองทัพญีปุ่นในสงครามโกลกครั้งที่ 2 จีนก็ได้ตกอยู่ในประเทศที่ ประชากรมีความยากจนมากอีกประเทศหนึ่งของโลก แต่หลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยกองทัพสหรัฐฯ อเมริกาได้รับชัยชนะต่อฝ่ายอักษะ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้โลกเข้าสู่ยุคเสรีนิยมอีกครั้ง กองทัพฝ่ายอักษะ ที่ได้ยึดครองประเทศต่าง ๆ ก็ได้พาถอนกำลังกลับยังประเทศของตน
เมื่อกองทัพญีปุ่นถอนกำลังออกจากประเทศจีน หลังจากนั้นความไม่สงบก็ได้เกิดขึ้นยังประเทศจีน เพราะยังสรุปไม่ได้ว่าจะปกครองประเทศแบบไหน ระหว่าง 2 ฝ่ายๆ เสรีนิยม กับ ฝ่ายสังคมนิยม มีความคิดเห็นขัดแย้ง ฝ่ายเสรีนิยมสนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกาฯ ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ฝ่ายสังคมนิยมสนับสนุนโดย สหภาพโซเวียต แต่ทำไมประเทศจีน ถึงได้ปกครองโดยระบอบสังคมนิยม โดย ชนะฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเด็ดขาดและสามารถทำให้ประเทศยิ่งใหญ่ ขึ้นมาได้ตราบทุกวันนี้ เป็นรองแค่สหรัฐฯ ปัจจุบันประเทศจีนพร้อมที่จะทำสงครามกับ สหรัฐฯ ทุกเมื่อ
การปฏิวัติประเทศจีน
การปฏิวัตเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 (สิ้นสุดลงในปี พ.ศ 2455) ซึ่งเป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง โดยการนำของ ดร. ชุน ยัตเซน หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง เป็นผลทำให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในที่สุด โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้น่าจะมาจากความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีน ผู้นำประเทศจักรพรรดิแมนจูไม่มีอำนาจกำลังพอที่จะปกครองประเทศได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาปกครอง 268 ปี (พ.ศ. 2187 – 2455) มีแต่การแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้นำราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ราษฎรส่วนมากจึงตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แผ่นดินจีนถูกคุกคามจากต่างชาติ
กำเนิดสาธารณรัฐประชาชนจีน
การสู้รบส่วนใหญ่ในสงครามกลางเมืองจีนยุติลงในปี พ.ศ. 2492 โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ และ พรรคก๊กมินตั๋งต้องล่าถอยไปยังเกาะไต้หวัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่เรียกว่า "จีนคอมมิวนิสต์" หรือ "จีนแดง"
แผนเศรษฐกิจและสังคมซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า นโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 ล้านคน ใน พ.ศ. 2509 เหมาและพันธมิตรทางการเมืองได้เริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งกินเวลาจนกระทั่งเหมาถึงแก่อสัญกรรมในอีกหนึ่งทศวรรษถัดมา หลังจากเหมาถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. 2519
ถึงแม้ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจีนได้เริ่มวิตกกังวลว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วนี้จะมีผลกระทบในด้านลบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของประเทศ อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความกังวลคือบางภาคส่วนของสังคมไม่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเพียงพอ
สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงได้เริ่มดำเนินนโยบายเพื่อที่จะหยิบยกประเด็นปัญหาของการแจกจ่ายทรัพยากรอย่างเท่าเทียม แต่ผลที่ออกมานั้นยังสามารถพบเห็นได้ ชาวนามากกว่า 40 ล้านคนถูกบังคับให้ย้ายออกจากที่ดินของตน ซึ่งเป็นเหตุปกติธรรมดาเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงและการจลาจลกว่า 87,000 ครั้งในปี พ.ศ. 2548 สำหรับประชากรส่วนใหญ่ของจีนแล้ว มาตรฐานการดำเนินชีวิตมองเห็นได้ว่ามีการพัฒนาอย่างมาก และเริ่มมีเสรีภาพมากขึ้น แต่การควบคุมทางการเมืองยังคงดำเนินอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับความยากจนในชนบท
เศรษฐกิจของประเทศจีน
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศในปี พ.ศ. 2492 จนถึงปลาย พ.ศ. 2521 สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางเหมือนโซเวียต ไม่มีภาคเอกชนหรือระบอบทุนนิยม เหมา เจ๋อตง เริ่มใช้นโยบายก้าวกระโดดไกล เพื่อผลักดันประเทศให้กลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่ทันสมัยและก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม แต่นโยบายนี้กลับถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวทั้งทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรม หลังจากที่เหมาเสียชีวิตและสิ้นสุดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เติ้ง เสี่ยวผิง และผู้นำจีนรุ่นใหม่ได้เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจและใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบผสมที่ให้ความสำคัญกับทุนนิยมมากขึ้น ด้วยนโยบายที่ว่า 1ระบอบ 2 ระบบ
ที่มา : Wikipedia แสดงการเติบโตของ GDP ประเทศจีน
มูลค่าการส่งออก-นำเข้า จีน-ไทย
ที่มา : กรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์