สงครามการค้า (War Trade) ในยุค Disruption
นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน 1945 ด้วยการยอมพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะ อำนาจของ สหรัฐฯ ก็ล้นหลามอย่างไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าจะอำนาจทางการทหาร อำนาจทางเศรษฐกิจ จนกระทั่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ใน สหรัฐฯ เมื่อปี 2008 ทำให้ สหรัฐฯ ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจของตัวเองและเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา แต่ว่าโลกก็เริ่มโน้มเอียงความมั่นคั่งทั้งหมดผ่านมาสู่จีนมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่นั่นเอง
หลังจากวิกฤตผ่านพ้นไปสหรัฐฯ พยายามที่จะเรียกคืนความเชื่อมั่นและอำนาจของตนกลับคืนมาในเมื่อโลกในยุด Disruption ไม่มีใครอยากทำสงครามกันจริง ๆ เพราะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีแต่ความสูญเสียในเมื่ทำสงครามกันจริง ๆ ไม่ได้ ประเทศมหาอำนาจเลยหันมาทำสงครามการค้ากัน
สงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน พ.ศ.2561
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน หมายถึงการมีมาตรการเริ่มภาษีทางศุลลากรจากอัตราที่ เป็น 0% (การค้าเสรี) เป็นการเพิ่มภาษีจากสินค้าที่เคยเก็บ 0 % เป็น 10%,20%,30% ตามลำดับ วันที่ 6 กรกฎาคม 2561 สหรัฐตั้งภาษีศุลกากร 25% ต่อสินค้าจีนมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพิกัดอัตราใหม่ของประธานาธิบดีสหรัฐ ดอนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนำให้จีนตอบโต้ด้วยการตั้งภาษีศุลกากรขนาดเท่ากันต่อผลิตภัณฑ์ของสหรัฐ ไม่นานจากนั้นในวันที่ 10 กรกฎาคม
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐจัดพิมพ์รายการผลิตภัณฑ์จีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่จะอยู่ภายใต้พิกัดอัตราที่เสนอใหม่ 10% ตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ จีนตอบโต้ด้วยการประกาศประณามพิกัดอัตราที่เสนอใหม่ว่า "ไร้เหตุผล" และ "ยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง" รัฐบาลทรัมป์ว่าพิกัดอัตราดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อคุ้มครองความมั่นคงของชาติและทรัพย์สินทางปัญญาของธุรกิจสหรัฐ และเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐกับจีน ในเดือนสิงหาคม 2560 ทรัมป์ เปิดการสอบสวนอย่างเป็นทางการในเรื่องการโจมตีทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐและพันธมิตร ซึ่งทำให้สหรัฐเสียหายเป็นมูลค่าประเมินไว้ระหว่าง 225,000 ถึง 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
การทำสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ สหรัฐฯ-จีน เป็นกำรทำสงครามทางอ้อม หรือ สงครามเชิง จิตวิทยา และยังไม่มีที ท่าจะจบลงกันง่าย ๆ แต่ยิ่งมีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะจะมีการออกมาตรการภาษีออกมาเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ได้รับผลกระทบคือ ภาคธุรกิจ และประชาชนผู้ที่มีต้องการซื้อสินค้าเพราะจะทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น ผลกระทุบขั้นสุดท้ายสุดคือ GDP
ประเทศไทยได้หรือเสีย ?
ประเทศไทยของเราแทบไม่ได้รับผลกระทบเลยในเรื่องนี้กับเป็นผลดีสะมากกว่าในระยะยาวเพราะจะเกิดการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตจากจีนและสหรัฐฯ มาสู่เราผลกระทบของประเทศไทยนั้นจะเป็นระยะสั้นสะมากว่า ทางตลาดทุนและเงินทุนที่เคลื่อนย้ายออกไปมาอย่างผันผวน ระยะยาวไทยได้ประโยชน์เต็ม ๆ ครับเพราะบ้านเราภาครัฐมีการส่งเสริมด้านฝีมือแรงงานประกอบกับนิคมอุตสหกรรมต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมากแทบทุกภาคของประเทศประกอบกับระบบคมนาคมของประเทศที่สะดวกเป็นข้อได้เปรียบในภูมิภาค ASEAN