กำไรเป็นสิ่งหอมหวาน ไม่ว่าใคร จะทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ หรือ เล่นหุ้น ก็แล้วแต่ก็อยากได้กำไรกันทั้งนั้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าอยู่ ๆกำไรเราหายไป

จะทำอย่างไรถ้าอยู่ ๆ กำไรหายไป

ลองนึกภาพดูกันนะครับว่า สมมุติว่าถ้าเราซื้อหุ้นมารวมกันไว้มูล่าทั้งหมดประมาณ 5 ล้านบาท 1 วันถัดมาราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นไป 5% ทำให้พอรต์ของเรากลายเป็นเงิน  5,250,000 บาท อีกหลายวันต่อมามูลค่าพอรต์ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5,300,000 บาทและ วันถัดมาเพิ่มขึ้นเป็น 5,400,000 บาท ตามลำดับพอรต์กลายเป็น 5,400,000 บามตามลำดับ ผ่านไปไม่กี่วันกำไร 7%  (400,000) บาท ระหว่างที่เรานั่งฝันหวานอยู่ ๆ เช้าวันถัดมามีเหตุการณืที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นหุ้นที่ถืออยู่มูลค่าเหลือ 5,200,000 บาท เนื่องจากการปรับตัวลงแรงของตลาด หรือเงินหายคืนกับไปกับตลาดต่อหน้าต่อตา

คำถามคือ ถ้าวันถัดมาราคาหุ้นปรับตัวลงต่อ คุณจะทำอย่างไร ?

ระหว่าง 1.ถือต่อเพราะยังมีกำไร  2.รีบขายเอากำไรอีก 100,000 บาทที่เหลือออกมาก่อน

จริง ๆ แล้วควรถือหรือควรขาย !!! ผมก็ไม่รู้ครับ และคิดว่ายากที่ใครจะฟันธงให้ได้ว่าอนาคตข้างหน้าราคาจะขึ้นจะลงดังนั้นผมจึงมีวิธีให้ทุกท่านลองนำเอาไปใช้ดูนะครับ

ใช้เส้นกำกับตัดสินใจแทนคุณ

เป็นวิธีการที่ง่ายมากครับ ก่อนการลงทุนให้เราตั้งไว้ก่อนว่า เราคาดหวังผลตอบแทนประมาณกี่ เปอร์เซ็นต์ต่อปีที่หากจะทำให้เราสบายใจและมีความสุข สมมุติว่าสัก 25% จากนั้นสมมุติว่าซื้อหุ้นตัวหนึ่งรวมมูลค่า 1 ล้านบาทวันนี้ก็ให้ลากเส้นกำกับขึ้นไปหามูลค่า 1.20 บาท ในอีก 1 ปี ข้างหน้าแล้วลากเส้นเชื่อมดังรูป

หลักการง่ายๆ ครับ ให้ลองจินตนาการว่า เส้นกำกับนี้บ่งบอกถึง การเติบโตของพอรต์อย่างสม่ำเสมอไปจนถึงเป้าหมายปลายปี หากราคาหุ้นค่อยๆ เพิ่มแบบสม่ำเสมอก็จะทำให้มูลค่าพอรต์วิ่งไปบนเส้นนี้ตลอด สุดท้ายปลายปีเราก็จะได้ผลตอบแทน 25% ตามที่หวังไว้พอดีและถ้ามุลค่าพอรต์สูงกว่าเส้นกำกับนี้ได้ ก็ยิ่งมีความสุข แสดงว่าหุ้นตัวนั้นมีแรงเร่งที่จะให้ผลตอบแทนเกิน 25% ต่อปี กลับกันถ้าเกิดมูลค่าพอรต์ตกลงใต้เส้นกำกับเมื่อใดก็แสดงว่าความเร็วในการเติบโตของราคาเริ่มหลุดออกจากเส้นทางของ 25% เสียแล้วจึงสามารถใช้เป็นจังหวะในการขายหุ้นได้

อ่านแล้วเป็นยังไงกันบ้างครับหลักการง่ายๆ ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะครับ