การเทรด Commodities ที่เกี่ยวกับค่าเงินมี 2 แบบก็คือ Currency Future กับ Forex

สิ่งที่แตกต่างก็คือ Future เป็นสินค้าที่ Standardized หรือมีมาตรฐานชัดเจน เช่น เทรดในตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่าสัญญา USD 125,000 ที่นํามาใช้เทรด จะมากหรือน้อยกว่านี้ไม่ได้ ถ้าจะเทรดเพิ่มก็ต้องใช้จำนวนสัญญาคูณเข้าไปเพิ่ม ข้อดีก็คือ เมื่อทําแบบนี้จะไม่มีการมั่วของตลาด หรือการเก็งกําไรแบบผิดธรรมชาติ

ส่วน Forex จะซื้อขายกันเองในตลาด OTC (Over The Counter) ซึ่งจะไม่มีตลาดกลาง ส่วนมากจะผ่านธนาคารซื้อขายกันเอง (Interbank) ราคาที่อ้างอิงก็คือราคาที่ธนาคารขนาดใหญ่ซื้อขายกัน และไม่มีราคากลาง

ปัญหาก็คือในเมื่อเป็นสินค้า OTC ดังนั้นจึงไม่มีข้อกําหนด ราคาจึงมีโอกาสถูกบิดเบือนได้สูง จึงต้องระวังให้มาก แต่ถ้าคิดจะซื้อขาย Forex ควรจะต้องทํารายการผ่านโบรกเกอร์ขนาดใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือ

ที่สําคัญนอกจากส่วนต่างราคาที่ไม่มีกฎเกณฑ์แล้ว Forex โบรกเกอร์เหล่านี้ก็ไม่จําเป็นต้องผ่านเงื่อนไขกฎเกณฑ์ต่างๆ มากนัก จึงเกิดเป็นโบรกเกอร์ เล็กๆ ที่เรียกว่า “โบรกเกอร์ห้องแถว” เยอะ พวกนี้ตอนเทรดอาจจะได้เงิน แต่ตอนที่ถอนเงินออกมาไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า โชคดีได้ โชคร้ายก็ปิดเว็บไซต์แล้วเชิดเงินหนีไปเลย (พวกนี้ส่วนมากจะไปตั้งตามประเทศที่กฎหมายภายในไปไม่ถึง)

ส่วนมากพวกที่เล่น Forex ก็คือพวกธนาคาร กองทุนส่วนมากจะไม่เทรด Forex เพราะมีความผันผวนสูง มีโอกาสที่จะผิดทางและเสียหายหนักได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ Forex จะเล่นแบบ Day Trade ก็คือตีหัวเข้าบ้านแล้วเลิก สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือภายใน 24 ชั่วโมงมันจะวิ่งขึ้นลงจบรอบ และจะไม่ค่อย มี Trend ที่ชัดเจนว่ากําลังขึ้นหรือลง

เหตุผลก็เพราะ Forex คืออัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสองสกุล ซึ่งส่วนมากแล้วจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก ยกเว้นแต่จะมีอะไรที่ส่งผลทำให้ภาวะเศรษฐกิจและการไหลของเงินเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญ มันถึงจะวิ่งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เช่น ค่าเงินยูโรที่ล้ม ปกติค่าเงินอาจจะลงแล้วขึ้น แต่กรณีของยูโรมันเป็นขาลงอย่างเดียว

การเทรดหุ้นหรือ Commodities ภาพใหญ่มันมักจะเป็น Trend ที่ชัดเจน ส่วน Forex ภาพใหญ่มักจะ Sideway ถามว่าหมายความว่าอะไร? มันก็แปลว่าคุณกำลังนำอัตราความเสี่ยงมาเทียบกับผลตอบแทน ผลที่ได้จะต่ำกว่าหุ้น Index Future หรือ Commodities ในอัตราเงินและความเสียงที่เท่ากันนั้นเอง

ถามว่าแล้วทําไมหลายคนถึงยังชอบเทรด Forex ล่ะ? ก็เพราะว่า มันเร็วและแรง จบเร็วในวัน สนองความอยากกินเร็ว (Instant Gratification หรือ ความพึงพอใจแบบแดกด่วน)

โดยส่วนตัวผมเทรด Forex พวกเงินยูโรค่อนข้างมาก การเทรดแต่ละครั้งจะต้องวางเงิน 5 แสนเหรียญ กลยุทธ์ก็จะเหมือนกับฟิวเจอร์ คือจะรอเมื่อ Trend มาอย่างชัดเจนเท่านั้น ไม่กินทุกวัน โอกาสดีๆ มาถึงชัดๆ แล้วเล่นไปให้สุด จะไม่เล่นต่อเนื่อง

ถ้าเป็นหุ้นหรือ Commodities 65% จะเป็น Sideway อีก 35% จะ เป็น Trend แต่ถ้าเป็น Forex 80% จะเป็น Sideway ที่เหลือจึงจะเป็น Trend โอกาสที่จะกินคําใหญ่ยาวๆ จึงยาก แต่ถ้ากินวันละนิดวันละหน่อย ในแง่ตัวเงินก็อาจจะแฮปปี้ แต่เวลาเสียก็จะโดนเยอะมาก

ตลาดทุนจึงเป็นที่เดียวในโลกที่เอาเงินน้อยมาใช้ซื้อของที่มีมูลค่ามากกว่าได้ สามารถปิดการซื้อขายโดยเพียงแค่วางเงินมัดจําเพียงแค่ 5-10% นี่คือการสร้าง Leverage นั้นเอง

ฟังดูน่าสนใจเพราะได้ผลตอบแทนเยอะ แต่มันก็คือดาบสองคม เพราะถ้า Leverage มากเกินไปหรือวางมัดจําน้อยเกินไปมันจะกลับมาฆ่าเราแบบไร้ความปราณี นี่คือสิ่งที่ผู้คนกําลังทําอยู่กับ Forex และ Option

ผมบอกได้เลยว่าเทรดเดอร์ 90% ที่เทรด Forex มักจะโอเวอร์เทรด หรือใช้ Leverage สูงเกิน พวกนี้ต่อให้ได้มากเท่าไร ส่วนใหญ่โดนเอาคืนหมด

มีข้อสังเกตข้อหนึ่งก็คือ เราจะเห็นเทรดเดอร์รายย่อยที่ประสบความสําเร็จมาจากการเทรดหุ้นบ้าง ฟิวเจอร์บ้าง แต่ไม่ค่อยเห็นคนที่เทรด Forex/Option แล้วรวยจริงเลย เพราะพวกนี้เวลาที่โตก็จะโตเร็ว แต่เวลาที่โดนเอาคืน ก็จะเร็วด้วย (และเยอะด้วย) ถ้าคนพอร์ตใหญ่เวลาเสียจะเกิดภาวะช็อคจนทำตัวไม่ถูก เพราะคนเรามีระดับของเงินที่รับได้อยู่ถ้าเหวี่ยงเกินขีดจํากัดก็จะช็อค

เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะเทรด Forex ต้องคิดให้ดีๆ เสียก่อน