#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

3 จุดเปลี่ยนธุรกิจประกันในยุค "InsurTech"

โดย ดร. ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์
เผยแพร่:
142 views

บนโลกนี้มีอยู่ไม่กี่อุตสาหกรรมที่จะถูกกระทบโดยเทคโนโลยีคลื่นใหม่เช่นปัญญาประดิษฐ์ (AI) Big Data บล๊อกเชน Internet of Things (IoT) 3D printing automation และโดรน พร้อมๆ กันทั้งหมดทุกเทคโนโลยี

อุตสาหกรรมนั้นก็คืออุตสาหกรรมประกัน  ตั้งแต่ประกันสุขภาพ ประกันรถยนต์ ไปจนถึงประกันสินทรัพย์ประเภทใหม่ๆ ที่เราเองก็ยังไม่ทราบว่ามนุษย์ยุคใหม่จะต้องการความคุ้มครองกับสิ่งใดบ้างในชีวิต

บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึง3 มุมมองที่นักลงทุนและผู้ที่สนใจธุรกิจประกันควรจับตามองอุตสาหกรรมที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอีกไม่ช้า

 

1. Journey ลื่นไหล ตัวตนเจือจาง

ธุรกิจประกันในยุคหน้ามีโอกาสสูงที่จะกลายเป็น1-stop shop สำหรับการให้บริการประกันภัยทุกรูปแบบ และสำหรับทุกๆสินทรัพย์ในชีวิตเราโดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทประกันและลูกค้านั้นจะแนบแน่นขึ้นด้วย big data จนเสมือนว่าเราไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับบริษัทประกัน

นี่เป็นแนวคิดกระแสหลักที่มองว่าลูกค้าส่วนมากไม่ได้อยากคุยกับบริษัทประกันไม่ได้ต้องการเสียเวลาถกกับเซลส์ไม่ได้ต้องการทำpaperwork ที่รอนานเมื่อเกิดการเคลมประกันและไม่ได้ต้องการความยุ่งเหยิงอันซ้ำซากนี้สำหรับทุกๆสิ่งในชีวิต

พวกเขาต้องการเพียงแค่ซื้อความสบายใจและความราบรื่นของชีวิตด้วยการปิดความเสี่ยงซึ่งเป็นพื้นฐานของสมการเศรษฐศาสตร์ประกันภัย

ด้วยความก้าวหน้าของการเก็บข้อมูลด้วยเซ็นเซอร์ IoT และ wearables จำนวนมาก (ตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึง health sensors ในนาฬิกา) อัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์จะมีข้อมูลอันเป็นวัตถุดิบที่ลึกขึ้นซึ่งอำนวยให้บริษัทประกันสามารถคำนวนเบี้ยประกันสำหรับแต่ละสินทรัพย์และสำหรับลูกค้าแต่ละรายได้ในแบบเกือบ real time โดยที่สามารถลดปริมาณคำถามและการสนทนาก่อนซื้อประกันลงได้ด้วย เนื่องจากบริษัทสามารถพยากรณ์ความเสี่ยงของลูกค้าได้จากมุมมองมิติอื่นๆจากข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น  customer journey จึงมีแนวโน้มที่จะมีความราบรื่นขึ้นมาก

ในโลกที่ cooptition บังคับให้บริษัทเป็นพันธมิตระหว่างกันมากขึ้น ลูกค้าจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ากำลังตั้งใจซื้อประกันเนื่องจากบริษัทประกันที่ดีจะพยายาม “ฝังตัว” เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์หรือกิจกรรมนั้นเลย ไม่ว่าคุณกำลังจะซื้อคอมพิวเตอร์ใน e-commerce หรือกำลังจะเช่าห้องพักจาก Airbnb  

บริษัทประกันอาจมีตัวตนต่อหน้าคุณเป็นเพียงแค่เครื่องหมายติ๊กถูกในช่องประกันเท่านั้น

และหากเทคโนโลยี smart contract ในระบบบล๊อกเชนเริ่มมีการใช้งานจริง ลูกค้าจะไม่ต้อง“คิด” ด้วยซ้ำอย่าว่าแต่ติ๊กเลย ความเสี่ยงควรจะถูกปิดเองในราคาที่ลูกค้าพอใจและในเวลาที่ความเสี่ยงมีโอกาสเกิดขึ้น (เช่น ไม่ใช่เวลาที่เราไม่ได้ขับรถหรือเราไม่ได้ไปเช่าห้องพักคนอื่น)

ด้วยปัจจัยและแรงของเทคโนโลยีเหล่านี้แปลว่าเรามีแนวโน้มจะได้เห็นยักษ์ใหญ่ประกันที่ครอบคลุมหลากหลายหมวดหมู่สินทรัพย์มากขึ้นฉลาดและรวดเร็วขึ้น พร้อมๆ กับภาวะที่ตัวตนของบริษัทประกันจะเจือจางลง

 

2.เบี้ยประกันแบบ personalized

คำถามว่าเบี้ยประกันจะขึ้นหรือลงนั้นเป็นคำถามที่ยากจะฟันธงตั้งแต่วันนี้เนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลพฤติกรรมแบบลึกซึ้งนั้นสามารถทั้งเพิ่มและลดเบี้ยประกันได้

ลดในกรณีที่ลูกค้ามีความเสี่ยงน้อย(แต่บริษัทประกันไม่เคยทราบก่อนมีbig data)

เพิ่มในกรณีที่ลูกค้ามาความเสี่ยงสูง(แต่บริษัทประกันไม่เคยทราบก่อนมีbig data)

สุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไรนั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทประกันในการ“ทาย” ความเสี่ยงก่อนมีbig data  เทียบกับความเสี่ยงที่แท้จริงของลูกค้า(หากทายเก่งอยู่แล้วความเปลี่ยนแปลงค่าเบี้ยประกันจะมีไม่มาก) และความแข่งขันในตลาดประกันว่าจะเกิดการแข่งขันสูงขึ้นเมื่อมีผู้เล่นstartup หรือบริษัทplatform ที่เริ่มอยากทำธุรกิจประกันพ่วงบริการตนเองด้วยหรือว่าการแข่งขันจะลดลงเมื่อผู้เล่นธุรกิจประกันเจ้าเก่าจะmerge เพื่อเป็น1-stop shop ก่อนใครอื่น

 

3.positioning ใหม่ของธุรกิจประกัน

ในโลกดิจิทัลบทบาทหน้าตาของบริษัทประกันที่เราคุ้นเคยจะมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจาก“ที่พึ่งหลังเหตุการณ์” มาเป็น“ที่ปรึกษาลดความเสี่ยง”

ผู้เขียนเชื่อว่าในที่สุดแล้วด้วย Big Data บริษัทประกันจะสามารถทราบถึงความเสี่ยงของลูกค้าก่อนซื้อประกันได้ดีถึงขั้นที่ value proposition ของธุรกิจนี้จะไม่หยุดแค่การแข่งขันกันเพื่อปิดความเสี่ยงของลูกค้าในราคาที่ดีเท่านั้น

แต่จะขยายไปถึงบทบาทของผู้หวังดีที่คอยเตือนหรือแนะนำพฤติกรรมเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเมื่ออัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์พบว่าพฤติกรรมของลูกค้าขณะนี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ปลอดภัย

ประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับก็คือความปลอดภัยของทรัพย์สินและความรู้สึกว่า“ดีนะที่มีคนเตือน”  ส่วนบริษัทประกันเองก็สามารถแก้ปัญหา moral hazard (ลูกค้าซื้อประกันแล้วระมัดระวังน้อยลง) ได้มากขึ้น

การด่วนสรุปว่าบริษัทประกันจะมีกำไรน้อยลงหรือมากขึ้นจากการวิเคราะห์เพียงมิติใดมิติเดียวนั้นไม่ถูกต้อง

ท้ายสุดชะตากรรมของบริษัทประกันจะขึ้นอยู่กับ 1) ระดับการแข่งขันในตลาด (ซึ่งอาจแข่งกันด้วยการเป็นที่ปรึกษามากกว่าแค่ขายประกัน)  2) บริษัทประกันจะใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ นี้เพื่อแก้ได้ทั้งปัญหา moral hazard และ adverse selection (ปัญหาไม่ทราบความเสี่ยงรายบุคคล จึงตั้งเบี้ยประกันสูงสำหรับทุกคน) ได้จริงหรือไม่ และ 3) จะมีความต้องการปิดความเสี่ยงในสินทรัพย์ใหม่ๆ เช่น สินทรัพย์จำพวกข้อมูลหรือ digital assets มากน้อยเพียงใด

 

ผู้เขียนเป็นเจ้าของเว็บไซต์ settakid.com ที่วิเคราะห์ประเด็นเปลี่ยนโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์แบบเข้าใจง่ายๆ  คุณ ณภัทร จบปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลและจอนส์ ฮอปกินส์ เคยมีประสบการณ์ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดและธนาคารโลก และสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซต้า เป็นนักเขียนรับเชิญของ stock2morrow และเป็นคอลัมนิสต์ประจำสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง