เรื่องของ “เงิน” มันคือ Tools หรือเครื่องมือ คนที่เข้าใจการหาเงินและรู้ว่าเงินเป็นเพียงเครื่องมือไม่ใช่เป้าหมาย จะกลายเป็นคนที่ “เหนือเงิน” อย่างที่บอกว่าคนส่วนใหญ่อยู่ใต้เงินเพราะคนส่วนใหญ่เอาเงินเป็น “เป้าหมาย” ก็เลย ทําทุกอย่างเพื่อเงิน ถ้าพูดให้ตรงๆ ก็คือคนเหล่านี้ “เป็นทาสของเงิน”
ในทางกลับกัน คนที่เอา “งาน” เป็นที่ตั้งจะสามารถสร้างผลงาน Master Piece ที่สุดท้ายสร้างรายได้มหาศาลและ การมองการทํางานเพื่องาน จะทําให้เขามองผ่านเงินและใช้เงินเป็นทาสทํางานให้เขาแทน เช่น คนที่ รู้ว่าเงินเป็น Tools จะรู้จักใช้เงิน จะจ้างคนเก่งและสร้างองค์กรที่มาทํางาน ตามความฝันของเราได้ เพราะ เขาไม่กลัวที่จะจ่ายเงินนั้นๆ ออกไป เพื่อซื้อเวลาของคนเก่งๆ ก็เรียกได้ว่า “เข้าใจเงิน”
หากเราไม่ยึดติดกับ “เงิน” เราสามารถใช้เงินต่อเงิน ยกตัวอย่างเช่น ผมมีธุรกิจที่ทํากําไรดี ผมอาจเอา “เงินกําไร” คืนให้ลูกน้องบางส่วนและคืนให้ลูกค้าบางส่วน โดยที่ตัวของผมเองยังคงมีกําไรเหลือที่งดงาม แต่การ “ใช้เงิน” ของผมเป็นการใช้เงินซื้อใจลูกน้องและใช้เงินซื้อใจลูกค้าโดยการ ให้ของขวัญอะไรก็ได้ที่ทําให้ลูกค้ามีความสุข ที่พูดนี่ก็เข้าหลัก Business Model ยุคใหม่ คือ “ยิ่งให้ ยิ่งได้” นั่นเอง
จะเห็นได้ว่าใครก็ตามที่ไม่กลัวเสียเงิน ไม่ยึดติดในเงินจะมีความคิดที่เปิดกว้างสามารถคิดได้นอกกรอบ ต่างกับ บริษัทยุคเก่าในปัจจุบันที่ทำธุรกิจแบบ เสียไม่ได้ ทุกเม็ดต้องเก็บให้มากที่สุด ต้องขี้เหนียว เอาเปรียบลูกน้อง และต้องลดต้นทุนเอาเปรียบลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ สรุปที่ทํามาทั้งหมดอาจทําให้งบการเงินของธุรกิจ ดีในระยะสั้นแต่ระยะยาวเน่าแน่นอน!!
ที่ผมเล่าให้ฟัง เรื่องมุมมองแบบ “ทุกเม็ด” มันคือต้นแบบของบริษัท ใน Wall Street ที่ต้องการจะกอบโกยเข้าตัวเองให้มากและเร็วที่สุด สรุป พวกหัวโบราณแบบนี้ อีกหน่อยมีแต่กิจการจะเล็กลง แย่ลง และสุดท้าย ก็จะเปิดทางให้ธุรกิจที่วางแก่นบนหลักการ Give & Take ให้ขึ้นมาเป็น องค์กรใหญ่ในอนาคต