#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

เรื่องของ"กัญชา" กับ ประโยชน์ทางการแพทย์

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
114 views

 

ประวัติศาสตร์ของการใช้กัญชาเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่19 ในอังกฤษและอเมริกาเพื่อรักษาอาการปวดและอาการคลื่นไส้

 

ปี 1851 กัญชาได้รับบรรจุอยู่ในตำรายาของอเมริกา แต่ต่อมาในปี 1942 ได้ถูกถอดถอนออกไป

ปี 1970 เป็นยุคฮิปปีที่คนหนุ่มสาวอเมริกาหันมาใช้กัญชาเพื่อการผ่อนคลายอย่างกว้างขวาง >>(555)<<

ปี 1990 ทางการแพทย์มีการค้นพบ Canabinoid system(ระบบสารสกัดกัญชา)ในสมอง และเป็นที่มาของการสนใจนำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์

ปี 2010 มี 11 รัฐในอเมริกามีการออกกฎหมายควบคุมการใช้กัญชาในทางการแพทย์ แต่ไม่รับรองการใช้กัญชาเพื่อความเพลิดเพลิน(recreational use)

ปี 2014 มี 23 รัฐออกกฎหมายควบคุมการใช้กัญชาในทางการแพทย์ และมี 5 รัฐอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อความเพลิดเพลิน ได้แก่รัฐ Alaska, Colorado,Oregon,Washington และ District of Columbia.

 

ในกัญชานั้นมีสารเคมีมากกว่า 104 ชนิด(สารเคมีเหล่านี้เรียกรวมกันว่าสาร Cannabinoids แต่ที่สำคัญที่สุดมีอยู่ 2 ชนิดคือ THC กับ CBD

 

สาร 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์แตกต่างกันชัดเจน กล่าวคือ THC ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท(Psychoactive) ทำให้เมาเคลิ้ม ประสาทหลอน และเกิดโรคจิต(Psychosis) ในขณะที่สาร CBD มีฤทธิ์ทำให้สงบ ลดอาการวุ่นวาย และต้านฤทธิ์เมาประสาทหลอน

 

ดังนั้นในการนำกัญชามาใช้นั้นจะต้องทราบจุดประสงค์ที่แน่นอน และควรทราบปริมาณที่แน่นอนของสารทั้งสองชนิดในสารสกัดกัญชานั้น ควรทราบว่าสารทั้งสองชนิดนี้นอกจากจะมีอยู่ในกัญชาแล้ว ยังสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้ด้วย การสังเคราะห์ขึ้นมาสามารถทราบปริมาณของสารทั้งสองชนิดอย่างแม่นยำแน่นอน

 

ส่วนในใบกัญชานั้น แต่ละสายพันธ์ให้ปริมาณของ THC กับ CBD แตกต่างกันไป มีการศึกษากัญชาในภาคเหนือของประเทศไทย พบว่ามีปริมาณสารทั้งสองอย่างแตกต่างกันมากแม้จะอยู่ในแหล่งเดียวกัน และ อย่างที่เรียนให้ทราบแล้วว่าการใช้กัญชานั้นมี วัตถุประสงค์ 2 ประการคือใช้ในทางการแพทย์ หรือว่าใช้เพื่อความเพลิดเพลิน กัญชาที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เพื่อความเพลิดเพลินนั้น ในต่างประเทศมักจะกำหนดให้มีปริมาณของสาร THC ต่ำมากๆและแม้กระนั้นก็ยังมีการควบคุมการใช้อย่างเคร่งครัด ทั้งปริมาณ สถานที่ที่จะใช้

 

สารทั้งสองชนิดที่มีอยู่ในกัญชานั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับความร้อน ดังนั้นจึงต้องนำมาสูบให้เข้าทางลมหายใจ หรือหากมีการสังเคราะห์เป็นของเหลวแบบเข้มข้นก็นำมาหยดไต้ลิ้นซึ่งจะมีการดูดซึมได้เร็วพอๆกับการสูบ แต่การกินเข้าไปจะไม่ได้ผลเพราะจะถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอาหารเกือบหมด

 

สำหรับการ ใช้ในทางการแพทย์นั้นมีการรับรองการใช้(ในต่างประเทศ) ดังต่อไปนี้

1.รักษาภาวะเกร็งในโรคทางระบบประสาท Multiple Sclerosis

2.รักษาโรคลมชัก(Epilepsy)ชนิดรุนแรงบางชนิด

3.รักษาโรค Parkinson(บางอาการ)

4.รักษาโรค Alzheimer(ยังต้องศึกษาเพิ่มเติม)

5.แก้อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด(ที่ให้ยาชนิดอื่นแล้วไม่ได้ผล)

6.แก้ปวดจากมะเร็ง ปวดปลายประสาท ปวดเรื่อรัง

7.ใช้รักษามะเร็งสมอง มะเร็งต่อมลูกหมาก(ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม)

8.ใช้เพิ่มน้ำหนักในผู้ป่วยโรคเอดส์(ช่วยให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น)

9.ใช้รักษาต้อหิน(ยังไม่ยืนยันผล)

10.ใช้รักษาโรค Post traumatic stress syndrome

11.ใช้รักษาโรควิตกกังวล

 

แต่ข้อบ่งชี้ทั้งหมดทั้งมวลนี้ยังต้องการการศึกษายืนยันอีกมาก และในแต่ละโรคนี้บางโรคเป็นผลของ THC บางโรคเป็นผลของ CBD จึงไม่สามารถนำกัญชามาใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ทราบสัดส่วนและปริมาณของสารทั้งสองชนิดอย่างชัดเจน การนำสารสกัดกัญชามาใช้นั้นมีหลายรูปแบบทั้งสูด ทั้งหยดไต้ลิ้น และปัจจุบันมีชนิดกินโดยผสมในขนมต่างๆเช่นในคุ๊กกี้ บราวนี เค๊ก Oeo Keef Kat ทำเป็นเนยกัญชา ขี้ผึ้งกัญชา น้ำมันกัญชา

 

อย่างไรก็ตามการใช้กัญชาหรือสารสกัดจากกัญชาใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีก็หาไม่ จากการศึกษาพบว่ามีผลเสียดังต่อไปนี้

1.เพิ่มการเกิดโรคทางจิต 3.9 เท่า

2.พบการฆ่าตัวตายเพิ่มชึ้น 2.5 เท่า

3.ทำให้ติดกัญชา 10%(ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ชึ้นเรื่อยๆ)(อยู่ในวัยเรียน 17%)

4.ทำให้สมองฝ่อ

5.มีปัญหาการเรียนรู้ สมาธิ และความจำ

6.สัมพันธ์กับการเกิดภาวะถุงลมโป่งพอง

7.สัมพันธ์กับภาวะเส้นเลือดสมองตีบ

8.สัมพันธ์กับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

9.สัมพันธ์กับมะเร็งอัณฑะ

10.เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือด

11.พบอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่สัมพันธ์กับการใช้กัญชาสูงขึ้น

 

ผลอย่างเฉียบพลันของกัญชานั้น อาจทำให้อารมณ์ครื้นเครงขึ้นแต่จะตามด้วยอาการง่วงซึม หากใช้ปริมาณมากจะทำให้ความจำลดลง และเพิ่มความวิตกกังวล ประสาทหลอนทางตา หวาดระแวง(paranoid) และเกิด panic attack หากใช้ในคนตั้งครรภ์ก็จะทำให้เสี่ยงต่อการพัฒนาการของเด็กในครรภ์ ทำให้การสร้างน้ำนมแม่ลดลง และสารกัญชาจะเข้าไปในน้ำนมด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ในคนท้องและให้นมบุตร

 

การใช้ในเด็กจะนำไปสู่การติดสารเสพติดชนิดอื่นมากขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

ดูเหมือนว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีการใช้สารจากกัญชามากที่สุดในโลกโดยพบว่ามีการใช้ในทางการแพทย์ 30 รัฐ ใช้เพื่อการผ่อนคลาย 9 รัฐ แต่รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกายังถือเป็นสารต้องห้าม แต่ในรัฐที่อนุญาตให้ใช้นั้นก็มีระบุไว้ชัดเจนว่าจะต้องมีปริมาณสาร THC ไม่เกิน 0.5-5% แล้วแต่รัฐ และมีปริมาณสาร CBD มากกว่า 5% ขึ้นไป

ส่วนในประเทศอื่นๆพบแตกต่างกันดังนี้

  • ประเทศCanada สามารถใช้ทางการแพทย์ได้ไม่ผิดกฎหมายหากมีข้อบ่งชี้ชัดเจน
  • ประเทศ Australia และ England ถือว่าการเสพกัญชาผิดกฎหมาย ส่วนการใช้ทางการแพทย์ต้องผลิตโดยบริษัทที่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น แพทย์ที่จะใช้ก็ต้องขึ้นทะเบียน
  • ผู้ป่วยที่ใช้ก็ต้องลงทะเบียน ติดตามได้ ผู้ปลูกก็ต้องขึ้นทะเบียน
  • ในประทศ Netherland นั้นคล้ายๆ Australia แต่เพิ่มสามารถปลูกใช้ในครัวเรือนได้ไม่เกิน5 ต้น และสามารถสูบกัญชาได้ในสถานที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
  • ประเทศที่ถือว่ากัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายทุกกรณีได้แก่ จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์

 

จากข้อมูลที่ประมวลมานี้ พอจะสรุปว่าการจะปล่อยให้มีการใช้กัญชาโดยเสรีน่าจะส่งผลเสียโดยรวมมากกว่าผลดีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่มีใครทราบได้เลยว่ากัญชาที่ใช้อยู่มีปริมาณสาร THA และสาร CBD อยู่กี่เปอร์เซ็นต์ และแม้หากจะควบคุมการใช้ให้ถูกกฎหมายก็ยังเสี่ยงต่อการใช้เกินขนาดได้โดยง่าย และราคาที่เหมาะสมจะเป็นเท่าใด

 

Reference : การประชุมราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย วันที่ 26 เมษายน 2562 


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง