จากรายการ Talk Together (MCOT) (สุดยอดนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า VI และผู้ถือพอร์ทหุ้นรวมที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับ 11 ของไทย)
ธรรมชาติของหุ้น จะมี cycle ขึ้นๆลงๆอยู่เสมอ อาจจะไม่ใช่ในรอบ 1-2 ปี แต่อาจจะเป็น 4-5 ปี “หุ้น มันต้องใจเย็นๆ”
การเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) สามารถเป็นได้ตลอดเวลาและทุกสถานะการณ์ ในมุมมองของ ดร.นิเวศ แล้ว หุ้นตัวที่จะลงทุนต้องศึกษาให้แน่ใจว่าจะเติบโตและไม่โดนรบกวนอย่างน้อยๆ ในระยะเวลา 3 ปี
หากลงทุนแบบ (VI) ได้ถูกช่วงถูกจังหวะ การก้าวหน้าเพียงปีละแค่ 1-2% จะไปส่งผลให้เห็นว่าพอร์ทเราสามารถเติบโตได้หลายๆเท่าในระยะยาว (5-10 ปี)
การลงทุนแนว VI สมัยนี้ยากกว่าสมัยก่อนแต่ไม่ใช่ทำไม่ได้ ต้องอาศัยความสามารถในการมองภาพรวมธุรกิจและแนวโน้มมากเพิ่มขึ้นในอนาคต
ในยุค Digital disruptive (สภาวะการเปลื่ยนแปลงของธุรกิจด้วยเทคโนโลยี) บริษัทและธุรกิจใดที่ปรับตัวตามเทคโนโลยีไม่ทันจนพลาดท่าไป มักจะไม่สามารถกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง
นอกจากศึกษาจุดแข็งของบริษัทแล้ว ควรหมั่นศึกษาจุดอ่อนของธุรกิจแล้ววิเคราะห์อยู่เสมอว่าช่องโหว่นั้นใหญ่พอที่จะทำให้โดน Disrupt ได้หรือไม่
ในสถานะการณ์ตลาดในไทยปัจจุบันได้เกิดการชะลอตัว แต่ให้ลืมเรื่องภาพรวมตลาดไปก่อน ให้กลับมาโฟกัสในการวิเคราะห์แนวโน้มหุ้นของเราเน้นเป็นตัวๆจะดีกว่า
หุ้น Value คือหุ้นที่เราศึกษามาดีแล้วว่ามีมูลค่าสูงกว่าราคาซื้อ ไม่ว่าตลาดจะเป็นยังไง หุ้นพวกนี้จะยังคงไปได้เรื่อยๆเสมอ
ในมุมมองกับ Cryptocurrency ดร.นิเวศ คิดว่าตลาดลักษณะนี้ สุดท้ายการแข่งขันจะเหลือเพียง 1-2 รายใหญ่ที่เป็นผู้ชนะเท่านั้น โดยส่วนตัวไม่เชี่ยวชาญและไม่แนะนำ
การลงทุนในตลาดหุ้นสไตล์ ดร.นิเวศ ไม่ใช่การลงทุนแบบหวังผลกำไรในระยะสั้นๆ แต่เป็นการวิเคราะห์ในระยะยาว เป็นลักษณะการลงทุนไว้ใช้เมื่อยามหลังเกษียณ
หุ้นบางชนิดต้องใจแข็ง, ศึกษา และให้เวลากับมันมากๆ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะไปช้อนหุ้นตอนที่ราคาขึ้นสูง แต่ต่อมาราคาดิ่งลงมากเช่นกัน จึงเกิดการขาดทุนเพราะขาดการวิเคราะห์
อสังหาริมทรัพย์ในไทยมีแนวโน้มจะเข้าสู่ขาลงไปอีก 10 ปี เพราะธุรกิจอสังหาเกี่ยวข้องกับจำนวนคน และประเทศเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ดร.นิเวศแนะนำว่าถ้าสนใจหุ้นอสังหาในตอนนี้ หากราคาไม่ถูกจริงๆ หรือบริษัทไม่มีการหา income เพิ่มจากธุรกิจอย่างอื่น อย่าซื้อ
ธุรกิจสื่อสารเติบโตลำบากเพราะต้องมีการลงทุนเพื่อให้ตามทันเทคโนโลยี แต่ก็ไม่สามารถเพิ่มค่าบริการได้ เพราะลูกค้าก็จะหนีไปยังบริษัทคู่แข่ง กลุ่มค้าปลีกโตตามการบริโภคในประเทศและการขยายสาขา แต่ไม่หวือหวาเหมือนในอดีต
ตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงและน่าสนใจที่สุดคือเวียดนาม เพราะปัจจุบันการซื้อขายง่ายขึ้น มีอัตราการเติบโตที่สูงและมีจำนวนหุ้นเยอะ แถมกำลังจะพัฒนาเป็น Emerging Markets (EM) ซึ่ง EM มักมีแนวโน้มการเติบโตที่น่าพอใจอยู่เสมอ
''แนวโน้มการลงทุนในครึ่งปีหลัง น้ำหนักยังคงอยู่ที่สถานะการณ์ต่างประเทศมากกว่าในประเทศเช่นเดิม สิ่งที่ ดร.นิเวศ เป็นห่วงคือ ปกติทุกๆ 10 ปี จะเกิดวิกฤติในตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้ผ่านมา 11-12 ปีแล้ว ยังไม่เกิดวิกฤติ ซึ่งอาจจะเป็นเพียงการหนุนหรืออุดภาษีเพื่อพะยุงไว้เท่านั้น นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรระวัง''